กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สนธิกำลังหลายฝ่าย ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อร้องเรียนการบุกรุกพื้นที่ป่ากว่า 500 ไร่ ในเขตติดต่อ ต.อ่างหิน และ ต.ทุ่งหลวง อ.ปากท่อ เบื้องต้นพบพื้นที่ส่วนใหญ่มีเอกสารสิทธิ์ นส. 3 ก. แต่ DSI เตรียมส่งผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของเอกสารสิทธิ์ และวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศว่ามีการครอบครองทำประโยชน์จริงก่อนปี 2497 หรือไม่
วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 นายเทวา จุฬารี ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 7 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พร้อมด้วยนายไกรศรี สว่างศรี ผู้อำนวยการแผนที่และภูมิศาสตร์สารสนเทศ กองเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูลการตรวจสอบ, นายลือชา วงศ์เปี่ยม ปลัดอำเภอปากท่อ, นายสุวัฒน์ ชลธารานที นายก อบต.อ่างหิน, ผู้แทนนายกเทศมนตรีตำบลทุ่งหลวง, ผู้แทนสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง), นายประเทือง หมื่นชำนาญ กำนันตำบลอ่างหิน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมประชุมหารือ ณ ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 7 จังหวัดราชบุรี
การประชุมดังกล่าวมีขึ้นเพื่อพิจารณากรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินทำกินประมาณ 10 แปลง รวมพื้นที่กว่า 500 ไร่ ในเขตติดต่อระหว่างตำบลอ่างหิน และตำบลทุ่งหลวง อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี จากการแสดงภาพถ่ายทางอากาศ พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นไร่สับปะรด มีแนวเขตติดต่อกับอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน และเขตป่าสงวนแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังปรากฏลำห้วยธรรมชาติอยู่ในแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ และบางจุดมีการติดป้ายแสดงแนวเขตการปลูกป่าของกรมป่าไม้
หลังจากนั้น คณะเจ้าหน้าที่ได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบตามพิกัดแต่ละแปลงในแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ โดยเส้นทางเข้าค่อนข้างลำบาก เป็นถนนลูกรังที่ผ่านแปลงปลูกมันสำปะหลัง ข้าวโพด ส้มโอ สับปะรด กล้วย และไม้ผลต่างๆ จนกระทั่งถึงพื้นที่ปลูกสับปะรดที่ถูกกล่าวถึง เจ้าหน้าที่ได้ใช้โดรนบินจับพิกัดแผนที่ และได้รับความร่วมมือจากตัวแทนเจ้าของที่ดินในการชี้จุด สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ติดภูเขา เป็นที่ราบเนินเขา มีลำห้วย มีการปลูกสับปะรดและติดตั้งโซลาร์เซลล์ในหลายจุด บางจุดเพิ่งมีการไถปรับพื้นที่เพื่อเตรียมปลูกสับปะรดใหม่ๆ และมีการฝังท่อเพื่อให้น้ำไหลผ่านสะดวกลงสู่ด้านล่าง
นายเทวา จุฬารี ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ เขตพื้นที่ 7 DSI เปิดเผยว่า กรณีนี้ได้รับการประสานมาจากศูนย์ป้องกันเครือข่ายของ DSI สเตชั่นราชบุรี และหลังจากประมวลเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชา ก็ได้รับอนุมัติให้ทำการสืบสวน จึงเป็นที่มาของการขอความร่วมมือผู้ครอบครองพื้นที่เข้าตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่าพื้นที่ 10 แปลง ประมาณ 500 ไร่ มีเอกสารสิทธิ์เป็น นส. 3 ก. อย่างไรก็ตาม DSI จะทำการสืบสวนเชิงลึกว่าเอกสารสิทธิ์ นส. 3 ก. ดังกล่าวออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
นายเทวา ชี้แจงว่า เอกสารสิทธิ์ดังกล่าวออกโดยวิธีเดินสำรวจตามมาตรา 59 ทวิ โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์เดิมที่แจ้งการครอบครอง เพียงอ้างว่ามีการครอบครองและทำประโยชน์ต่อเนื่องมาก่อนปี 2497 ซึ่ง DSI จะส่งเรื่องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศวิเคราะห์ว่ามีการครอบครองและทำประโยชน์อยู่จริงก่อนปี 2497 หรือไม่
"หากข้อเท็จจริงพบว่าไม่มีการครอบครองและทำประโยชน์อยู่จริง ก็อาจเข้าข่ายเจ้าหน้าที่กระทำการออกโฉนดโดยไม่ชอบ ซึ่งจะอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. และในส่วนของเอกสารสิทธิ์ที่ออกไม่ชอบ จะประมวลเรื่องส่งอธิบดีกรมที่ดินเพื่อพิจารณาเพิกถอนตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 ต่อไป" นายเทวากล่าว
จากการตรวจสอบในวันนี้ พบว่ามีการปลูกไร่สับปะรดค่อนข้างเต็มพื้นที่ ซึ่งสภาพไม่ต่างจากข้อมูลที่ได้รับร้องเรียนมา ณ เวลานี้ DSI ยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิ์ของเอกชน ซึ่งผู้ถือครองรายปัจจุบันให้ความร่วมมือในการพิสูจน์ข้อเท็จจริง เนื่องจากซื้อต่อมาอีกทอดหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม DSI จะนำข้อมูลที่ดินที่ได้จากการตรวจสอบร่วมกับผู้ครอบครองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปทำการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศวิเคราะห์ หากพบว่าไม่มีการครอบครองและทำประโยชน์อยู่จริงในปีก่อนหน้าที่กำหนด ก็แสดงว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิ์ที่ผิดเงื่อนไขของกฎหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี