พระฉาวลาออก
พ้นเก้าอี้เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ
เซ่นโอน11ล.ให้‘สีกากอล์ฟ’

ตำรวจเตรียมขอข้อมูลเส้นทางการเงิน 4 วัดดัง เข้าข่ายยักยอกเงินวัดโอนให้ “สีกากอล์ฟ” หรือไม่ พบเจ้าอาวาส 1 ใน 4 วัด โอนกว่าให้ 1 ล้านบาท ส่วน พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯไม่อยู่วัด หลังจนท.จ่อสอบเงิน 11 ล้านโอนให้ “สีกากอล์ฟ” ล่าสุดได้ส่งหนังสือขอลาออกจาก ‘เจ้าอาวาสวัดชูจิต’แล้วหลังพบโอนเงินให้ สีกากอล์ฟ 11 ล้านบาทอ้างทำให้สงฆ์เสื่อมเสีย ขอเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบความจริง

เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นทางการเงินของสีกากอล์ฟ จากข้อมูลการสืบสวน ตำรวจเตรียมขอความร่วมมือเข้าตรวจสอบวัดที่พบว่ามีความเกี่ยวข้อง 4 วัด ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ได้แก่ 1 .วัดชูจิตธรรมาราม พระอารามหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา, 2.วัดใหญ่จอมปราสาท จ.สมุทรสาคร, 3.วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และ 4.วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ขอตรวจสอบเส้นทางการเงินของพระชั้นผู้ใหญ่และบัญชีวัด เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าเงินที่โอนให้สีกากอล์ฟ เป็นเงินส่วนตัวหรือเงินวัด

หลังพบว่าพระบางรูปที่มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ รวบอำนาจการบริหารจัดการเงินของวัดเพื่อให้ทำธุรกรรมได้สะดวก โดยเฉพาะเจ้าอาวาสวัดใหญ่จอมปราสาท พบเส้นทางการเงินโอนให้สีกากอล์ฟ 2 บัญชี เป็นเงินกว่า 1 ล้านบาท ส่วนพระรูปอื่นๆ ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ

ส่วนสีกากอล์ฟ จะมีเจตนาในการข่มขู่รีดไถเงินจากพระหรือไม่ ทางการสอบสวนยังไม่พบหลักฐานชัดเจนเพราะเป็นรสนิยมส่วนตัว โดยพุ่งเป้าเข้าหาพระชั้นผู้ใหญ่ เพื่อมีความสัมพันธ์และนำเงินมาใช้ส่วนตัว แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปข้อกล่าวหาได้ เพราะยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน

นอกจากนี้ยังมีพระชั้นผู้ใหญ่ระดับเจ้าคณะจังหวัด 2 รูป ที่พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับสีกากอล์ฟ คือเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรและเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบเส้นทางการเงินหลังพบว่าใช้บัญชีส่วนตัวโอนเงินให้สีกา กอล์ฟ สอดคล้องกับข้อมูลของพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ระบุว่าหลักฐานที่ตำรวจมีสามารถทำให้พระหลายรูปต้องปาราชิก

ส่วนคำให้การของอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทราเมื่อวานนี้ ให้การเป็นประโยชน์บางส่วน โดยให้ข้อมูลพาดพิงไปถึงพระรูปอื่นที่มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ จากการตรวจสอบยังพบว่ามีพระเข้าไปเกี่ยวข้องกับสีกาคนดังกล่าวมากกว่า 20 รูป บางส่วนเกี่ยวข้องแค่เรื่องเส้นทางการเงิน บางส่วนถึงขั้นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งและมีข้อมูลว่าพระที่มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ มีอีก 6 รูป ที่ยังไม่พบหลักฐานว่าลาสิกขา ในจำนวนนี้พบว่าบางรูปไม่สามารถติดต่อได้ บางรูปตั้งทีมทนายความเพื่อสู้คดี โดยเจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา จะชี้แจงกับพนักงานสอบสวนที่วัดในวันที่ 14ก.ค.นี้

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่วัดชูจิตธรรมาราม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่ภายในมหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย หลังจากมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ บก.ปปป.จะลงพื้นที่เข้าตรวจสอบวัด 4 แห่งที่มีพระลูกวัด หรือพระชั้นผู้ใหญ่ของวัด เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับ สีกากอล์ฟประกอบด้วย วัดชูจิตธรรมาราม พระอารามหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา, วัดใหญ่จอมประสาท จ.สมุทรสาคร, วัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร และ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรุงเทพมหานคร

โดยเฉพาะในรายของพระวัดชูจิตธรรมาราม พระอารามหลวง จ.พระนครศรีอยุธยาเบื้องต้นตรวจสอบพบว่าเคยโอนเงินให้กับสีกากอล์ฟรวมแล้วเป็นเงินกว่า 11 ล้านบาท จึงต้องตรวจสอบยอดเงินดังกล่าว

ขณะที่บรรยากาศในวัดชูจิตฯเป็นความเงียบสงบมีพระสงฆ์และสามเณรที่จำพรรษา และเรียนอยู่ที่มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย ปฏิบัติศาสนกิจตามปกติและลงมาฉันเพลที่บริเวณหอฉัน แต่ไม่พบพระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 1-2-3 (ธรรมยุต)ไม่มาปฎิบัติกิจของสงฆ์

จากการสอบถามข้อมูลสามเณรและเจ้าหน้าที่ของวัดให้ข้อมูลเพียงว่าท่านไม่ได้ลงมาฉันเพลและไม่ได้อยู่ที่วัดไม่ทราบเดินทางไปที่ไหนหรือไม่ และยังไม่ได้รับการประสานจากหน่วยงานใดที่จะเข้ามาตรวจสอบตามที่เกิดกระแสข่าว

มีรายงานข่าวล่าสุดว่า พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม พระอารามหลวง ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 1-2-3ได้ทำหนังสือถึง พระราชวชิรสารสุธี เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อขอลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม พระอารามหลวง หลังตำรวจเผยผลตรวจสอบเคยโอนเงินให้ สีกากอล์ฟ รวมเป็นเงินกว่า 11ล้านบาท

โดยระบุว่า เนื่องจากกระผมได้ตกเป็นข่าวด้านลบทางสื่อสารมวลชน ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวัดและหมู่คณะสงฆ์เป็นอย่างมาก ดังนั้น กระผมจึงขอลาออกจากการ เป็นเจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม พระอารามหลวง เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบความจริงต่อไป ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค. เป็นตันไป

อย่างไรก็ตาม ต่อมา ทางเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ธ.)มีคำสั่งแต่งตั้ง พระเทพวชิรกิตติ วัดโสมนัสวิหาร รักษาการแทน เจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม

ด้าน นายบุญเชิด กิตติธรางกูร รองผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า “ตามที่ปรากฏพระเถรานุเถระหลายรูปตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับหญิงสาวรายหนึ่ง และบางรูปถึงขั้นต้องสละสมณะเพศ ด้วยเหตุแห่งความสัมพันธ์อันไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นที่สะเทือนใจต่อศรัทธาสาธุชนและเป็นบาดแผลต่อพระพุทธศาสนาข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ นำถ้อยคำตักเตือนที่เคยกราบนมัสการไว้แล้ว มาทบทวนอีกครั้ง พร้อมปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันลักษณะพฤติกรรมของสตรีที่พระภิกษุพึงระมัดระวังเป็นพิเศษ

1.หญิงสาวซึ่งมีบุคลิกและฐานะดี แต่งกายหรู ขับรถราคาแพง มาปฏิสันถาร ถวายทานหรือเลี้ยงภัตตาหาร ด้วยท่าทีเลื่อมใสอย่างเปิดเผย2.แสดงความศรัทธาเป็นพิเศษ เช่น ขอถวายตัวเป็นบุตรบุญธรรม เป็นโยมอุปัฏฐากประจำตัว หรือขอติดตามไปถวายงานในที่ต่างๆ 3.เริ่มต้นสนทนาด้วยเรื่องศาสนา หรือเรื่องทั่วไป เพื่อให้พระรู้สึกสบายใจและลดความระวัง4.ต่อมาอ้างความจำเป็นเพื่อขอช่องทางสื่อสาร เช่น ขอไอดีไลน์เพื่อวิดีโอคอล 5.ใช้การสนทนาอย่างใกล้ชิด ตีสนิทจนพระรู้สึกไว้วางใจ และคุยได้ทุกเรื่อง 6.อ้างคำทำนาย หรืออดีตชาติ ว่าเคยเป็นคู่ชีวิตกัน เพื่อให้พระเกิดความเชื่อและยึดมั่นในตัวหญิงนั้น 7.มอบทรัพย์หรือสิ่งของมีค่าเป็นจำนวนมาก เพื่อให้พระตายใจว่าตนมีฐานะมั่นคง ก่อนจะหาทางถอนกลับในภายหลัง8.ชักชวนให้พระร่วมกิจกรรมทางเพศผ่านวิดีโอคอล หรือเสนอให้นัดพบเป็นการส่วนตัว หากถึงขั้นนี้ ขอให้พระท่านรีบหยุดการติดต่อในทันที

พึงสังวรไว้ว่าหญิงลักษณะเช่นนี้ ไม่ได้มาด้วยเจตนาบริสุทธิ์เช่นญาติโยมทั่วไป หากแต่เป็นบุคคลอันตรายที่พระพึงหลีกให้ไกล หากไม่สามารถตัดการติดต่อได้ทัน ท่านอาจตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากพระเถระที่เป็นข่าว และอาจต้องสละสมณะเพศต่อไปพระภิกษุผู้หลงใหลในความงาม เสียงอ่อนหวาน หรือความอ่อนโยนของหญิงบางราย มักตกเป็นเหยื่อของกลลวง เสียทรัพย์ เสียศักดิ์ศรี และสุดท้ายเสียสมณเพศ

จึงขอเตือนภัยนี้อีกครั้ง เพื่อเป็นเกราะคุ้มครองแก่ท่านทั้งหลายทางป้องกันที่ดีที่สุด คือ ปฏิบัติตามพระพุทโธวาทที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ กรณีการปฏิบัติต่อสตรีเพศ ซึ่งมีปรากฏในมหาปรินิพพานสูตรว่าไม่เห็น ย่อมประเสริฐหากจำเป็นต้องเห็น ก็ไม่ควรพูดหากจำเป็นต้องพูดหรือเจรจาด้วย พึงพูดหรือเจรจา อย่างมีสติ (และสำรวมระวัง)ขอให้ท่านทั้งหลายตระหนักในภาระของสมณะ ยึดมั่นในพระธรรมวินัย และดำรงตนให้เป็นเนื้อนาบุญที่มั่นคงแก่สังคม”