'บิ๊กต่าย'ยันไม่ขัดแย้งสำนักพุทธฯ ชม'รองเต่า'ตั้งใจทำงาน ชี้จะเอาผิด พศ. ต้องมีหลักฐาน

'บิ๊กต่าย'ยันไม่ขัดแย้งสำนักพุทธฯ ชม'รองเต่า'ตั้งใจทำงาน ชี้จะเอาผิด พศ. ต้องมีหลักฐาน

วันพฤหัสบดี ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 19.20 น.

วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และนายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมกำหนดแนวทางป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดที่ส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

ภายหลังการประชุม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เราได้มีการจัดตั้งศูนย์ร้องเรียนการกระทำผิดของพระสงฆ์ขึ้น โดยเป็นการร่วมมือกันหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย ตำรวจ, ป.ป.ช., ป.ป.ท., ปปง. และสำนักงานพระพุทธศาสนา โดยจะมีการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งการจัดตั้งศูนย์ครั้งนี้ถือเป็นการจัดตั้งเฉพาะกิจขึ้นมาก่อน โดยให้ทางผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นผู้อำนวยการศูนย์ แต่ในอนาคตคงจะต้องยกระดับให้เป็นเรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการแบ่งหน้าที่กันนั้น จะให้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาตรวจสอบว่าวัดไหนบุคคลใดไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และแนวทางที่วางไว้ ก็จะผิดเรื่องวินัยสงฆ์ หากผิดในเรื่องอาญาตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินคดี ซึ่งตัวเองไม่อยากให้เหมารวม ให้แยกเป็นเรื่องของบุคคล ส่วนการแสดงทรัพย์สินวัดนั้น ก็จะให้ทาง ป.ป.ช. เป็นผู้พิจารณาว่าจะมีการประกาศให้แสดงทรัพย์สินหรือไม่


ผบ.ตร. ได้ย้ำว่าการจัดตั้งศูนย์ครั้งนี้ เนื่องจากมีเหตุการณ์มีพระหลายรูป รวมทั้งสำนักสงฆ์หลายแห่ง เข้าข่ายการกระทำความผิดวินัยสงฆ์และอาญาในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ จึงมองว่าถึงเวลาที่ต้องร่วมมือกับทุกหน่วยงาน ซึ่งการจัดตั้งศูนย์ครั้งนี้มีคนร้องเรียนมาแล้วถึง 69 เรื่อง ส่วนการร้องเรียนในเรื่องอะไรนั้นยังไม่ขอลงรายละเอียด ทั้งนี้ เน้นย้ำให้ตรวจสอบระวังข้อมูลข่าวสารที่อาจนำไปสู่การกลั่นแกล้ง รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ ถ้าหากพบก็ให้ดำเนินคดีกับผู้แจ้งความเท็จด้วย

ในส่วนที่ผ่านมาเมื่อตำรวจทราบว่าเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนามีการละเว้น และบกพร่องเมื่อร่วมงานทุกครั้งเกิดความล้มเหลวทั้งที่เป็นความผิดชัดเจน ทำไมตำรวจถึงไม่ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่มีพยานหลักฐาน หากจะเอาผิดใครจะต้องมีพยานหลักฐานและมีผู้แจ้งร้องทุกข์ ยืนยันตำรวจไม่ผิด สำนักพุทธฯ ไม่ผิด แต่มีเพียงพระสงฆ์บางรูปที่ประพฤติไม่เหมาะสม จากพระสงฆ์ 3 แสนรูป ที่นับเป็นส่วนน้อยที่มีความผิด จึงขออย่าเหมารวมศาสนา

ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ดำเนินการที่ผ่านมาทุกครั้งไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่สำนักพุทธ ทำให้เกิดความไม่สบายใจกับทั้ง 2 หน่วยงานนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้ง และไม่ถึงขนาดต้องจูบปาก เพราะบางครั้งผู้ปฏิบัติงาน โดยเฉพาะ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เป็นคนตั้งใจทำงาน แต่การสื่อสารอาจทำให้เกิดความเข้าใจไม่ตรงกัน จึงได้กำชับการให้ข้อมูล เนื่องจากมีความละเอียดอ่อน ส่วนตัวเองก็ไม่อยากติ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ จะทำให้เสียกำลังใจ และทราบดีว่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เป็นคนตั้งใจทำงาน และขณะนี้ก็ยังตั้งใจทำงานอยู่ ส่วนเส้นเงินสีกากอล์ฟ มีการขยายผล ว่าเส้นเงินไปถึงใครบ้าง ถึงแม้ว่าจะจับกุมดำเนินคดีแล้วก็ตาม ก็จะขยายผลต่อไป

ส่วนกรณีที่มีผู้หวังดีร้องเรียนถึงพระที่มีสมณศักดิ์สูงกว่าคดีสีกากอล์ฟ และไม่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ขณะนี้ทราบเรื่องแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณา เบื้องต้นสามารถยืนยันได้ว่าเป็นพระอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด ไม่ใช่กรุงเทพมหานคร โดยมีความเกี่ยวข้องกับสีกา ส่วนจะเกี่ยวกับเงินหรือไม่ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ภายหลังที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้สัมภาษณ์เสร็จสิ้นได้มีการกอดและยกนิ้วให้กำลังใจกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พร้อมกล่าวว่า คนทำงานต้องชื่นชม เยี่ยม

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top