(ขอบคุณภาพประกอบจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล)
“รายงานสุขภาพคนไทยปีนี้มีซีน (Scene – ฉาก) ที่ถูกลบไปนิดหน่อย จริงๆ แล้วชื่อ ‘เกิดน้อยกู่ไม่กลับ’ ชื่อเดิมคือ ‘มูฟออน (Move On – ก้าวออกไป)’ แต่พอกรรมการคุยกันแล้ว จะส่งข้อความผิดหรือเปล่า? แต่ตั้งแต่ตอนแรกที่เราทำเรื่องเกิดน้อยกู่ไม่กลับ ตั้งใจที่จะบอกว่าสังคมไทยเราฟังเรื่องนี้มาเยอะแล้ว ขอเรียนให้ทราบว่าเรื่องอัตราการเกิดน้อยไม่ใช่เรื่องใหม่
แล้ววันนี้ที่จะพูด อะไรที่เป็นเรื่องเก่าเราไม่อยากพูดแล้ว สังคมไทยเรารู้เรื่องนี้ งานวิจัยที่ทำเกี่ยวกับเรื่องนี้มีเยอะแยะเต็มไปหมด มูฟออนได้แล้ว มูฟออนด้วยความเห็นความจริงหลายเรื่อง ซึ่งวันนี้จะเสนอให้ทราบว่าความจริงหลายเรื่องที่ต้องยอมรับ แต่ไม่ถึงกับยอมจำนน เราก็ยังมีความหวังที่เกิดจะเพิ่มมากขึ้น แต่ที่มูฟออนคือทำใจเถอะ มันไม่เร็วๆ นี้แน่นอน”
รศ.ดร.ภูเบศร์ สมุทรจักร สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในการบรรยายหัวข้อ “เกิดน้อยกู่ไม่กลับ ต้องปรับและรับมืออย่างไร” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับบทความเรื่องเด่นในรายงาน “สุขภาพคนไทย ปี 2568” ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงกลางเดือน ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ย่านงามดูพลี – สาทร กรุงเทพฯ ส่งสัญญาณบอกสังคมไทย ถึงเวลาต้องยอมรับความจริงว่าการจะทำให้อัตราการเกิดกลับมาเพิ่มขึ้นเป็นเรื่องยาก
สำหรับประเทศไทย อัตราการเกิดน้อยเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เป็นรองเพียงสิงคโปร์ ปรากฏการณ์อัตราการเกิดต่ำนี้ยังเกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ มีคำในภาษาเกาหลีที่แปลว่า “วีรชน” ซึ่งความหมายเดิมที่คุ้นเคยคือบุคคลที่กล้าหาญ อาสาไปออกรบเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องประเทศชาติจากข้าศึกศัตรู แต่ในปัจจุบัน คำว่าวีรชนในเกาหลีใต้อาจหมายความเพียงชายหรือหญิงที่กล้ามีลูก เพราะอย่างที่ทราบกันว่าแดนโสมขาวมีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำที่สุดในโลกติดต่อกันมาหลายปีแล้ว
ทั้งนี้ หากดูในภาพรวมของโลก จะพบว่า “เมื่อประเทศใดพยายามพัฒนาความเจริญทางเศรษฐกิจ (ซึ่งเป็นการพัฒนาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้) สิ่งที่ตามมาเสมอคือประเทศนั้นคนจะมีลูกน้อยลง (และสัดส่วนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น)” มีตัวอย่างจาก ญี่ปุ่น หมู่บ้านบางแห่งเหลือประชากรอยู่ไม่มากนักอีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นผู้สูงอายุ ถึงขนาดมีการทำตุ๊กตาขนาดเท่าตัวคนไปวางไว้ตามจุดต่างๆ ซึ่งแม้จะถูกมองจากผู้พบเห็นว่าดูหลอนๆ ไม่น้อย แต่อีกมุมหนึ่งก็ยังดึกว่าปล่อยให้เหมือนหมู่บ้านร้างว่างเปล่า อย่างในไทยเองก็มีโรงเรียนร้าง ไม่มีเด็กมาเรียนแล้วเช่นกัน
หรือ ที่ประเทศ สเปน ก็มีเมืองที่ประชากรมีอายุเฉลี่ยมากกว่า 50 ปี จึงต้องรอจับตาดูว่า เมืองหรือหมู่บ้านใดของไทยจะเป็นที่แรกที่มีสภาพแบบนี้ และข่าวร้ายคือ “นโยบายต่างๆ ที่นานาประเทศพยายามทำเพื่อหวังให้อัตราการเกิดเพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้” จาก 188 ประเทศทั่วโลก จะพบว่าราวครึ่งหนึ่ง หรือราว 90 ประเทศ มีอัตราการเกิดต่ำกว่า 2.1 ซึ่งเป็นระดับประชากรทดแทน
เช่น นอร์เวย์ หนึ่งในประเทศภูมิภาคยุโรปเหนือ (นอร์ดิก , สแกนดิเนเวีย) ที่โดดเด่นเรื่องการสร้างสังคมเท่าเทียม หรือ เยอรมนี ที่ให้อำนาจหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดูแลศูนย์เด็กเล็ก มีการเพิ่มทั้งปริมาณศูนย์และคุณภาพของผู้ประกอบอาชีพดูแลเด็กเล็ก หรือหลายๆ ประเทศในยุโรป มีนโยบายขยายวันลาคลอดและใช้สิทธิ์ได้ทั้งพ่อและแม่ อย่างสเปนที่ให้เงินค่ามีบุตร 2,800 ยูโร เยอรมนี 1,800 ยูโร แต่อัตราการเจริญพันธุ์ก็ยังเพิ่มขึ้นน้อย
อย่างไรก็ตาม มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจใน สหรัฐอเมริกา เมื่อรัฐมีนโยบายส่งเสริมให้หญิงที่ใกล้หมดวัยเจริญพันธุ์เข้าถึงบริการช่วยให้มีลูก กลับพบว่าได้ผลอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยังได้ผลเพียงช่วงแรกๆ ส่วนประเทศในเอเชีย ไม่ว่า จีน ที่ยกเลิกกฎบังคับมีลูกคนเดียวโดยเปลี่ยนเป็นอนุญาตให้มีได้ถึง 3 คน เกาหลีใต้ ที่ส่งเสริมให้แม่สามีมาช่วยเลี้ยงดูบุตร ค่าใช้จ่ายหารครึ่งระหว่างครอบครัวกับรัฐ แต่อัตราการเกิดก็ยังต่ำ ไม่ต่างจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์
“สรุปได้เท่านี้ว่าเกิดน้อยท่าทางจะกู่ไม่กลับ มันเป็นเทรนด์ที่ไปเหมือนกับโลกร้อน จะทำให้โลกเย็นขึ้นคงไม่เย็นแล้ว ถ้าหากจะมีหวังก็คงจะใช้เวลาไปพอสมควรอีกสักระยะหนึ่ง ช่วงนี้ในระยะเวลาที่เรายังกู่ไม่กลับเราจะอยู่กันอย่างไร?” รศ.ดร.ภูเบศร์ ฝากคำถามทิ้งท้าย
ตฤณ ศรีวงศ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า ในเรื่องของการเกิดน้อย ก็อยากทำให้เด็กที่เกิดน้อยนี้มีคุณภาพ อยู่ในสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ข้อเสนอหรือนโยบายแก้วิกฤตประชากรจึงไม่ได้พูดถึงเฉพาะการแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อยเพียงอย่างเดียว การเกิดอย่างมีคุณภาพและได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อยู่ในสภาพแวดล้อมและสังคมที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องท้าทาย
“เด็กเกิดมาแล้วแต่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมสุดท้ายแล้วก็จะตกหลุม ไม่ว่าจะในเรื่องของยาเสพติด การมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือการใช้บุหรี่ไฟฟ้า หรือการมีพฤติกรรมสุขภาพ หรือการมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต อันนี้ก็ทำให้คุณภาพของเด็กที่จะส่งต่อไปยังกลุ่มของวัยทำงานหรือวัยผู้สูงอายุอย่างไม่มีคุณภาพ แล้วก็เสียเด็กไป เด็กเกิดน้อยอยู่แล้วยังต้องมาเจอกับข้อท้าทายปัญหาเหล่านี้ ก็พยายามที่จะแก้ไข” ตฤณ กล่าว
ผอ.กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวต่อไปว่า หนึ่งในสิ่งที่กรมฯ พยายามทำคือการยกระดับสถานดูแลเด็กปฐมวัย (อายุ 0 – 6 ปี) เพราะเป็นสถานที่สำคัญและลดความห่วงกังวลของพ่อแม่ผู้ปกครองซึ่งพร้อมมีบุตรแต่ไม่รู้ว่าหากมีแล้วจะไปฝากใครเลี้ยง หรือต้องไปทำงานแล้วระหว่างนั้นจะแวะไปให้นมบุตรได้อย่างไร ตลอดจนสถานดูแลเด็กที่มีอยู่ราว 5 หมื่นแห่งทั่วประเทศในหลายสังกัด จะสามารถควบคุมคุณภาพได้หรือไม่ รวมถึงจะลดอายุการรับเด็กได้หรือไม่ เพราะพ่อแม่มีข้อจำกัดด้านการลางาน
ต้นน้ำ สืบตระกูล ผู้ก่อตั้งเพจเฟซบุ๊ก Avengers Teacher กล่าวว่า ในญี่ปุ่นที่มีนโยบายลาคลอดนานสูงสุด 1 ปี จริงๆ แล้วจะแบ่งเป็นลาคลอด 3 เดือน ที่เหลือเป็นการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร นอกจากนั้นหากพ่อแม่ยังหาสถานเลี้ยงดูเด็กไม่ได้ ก็ยังสามารถยืดไปได้ถึง 3 ปี เพื่อให้เด็กอายุถึงเกณฑ์เข้าเรียนชั้นอนุบาล ในกรณีของไทยหากจะนำมาใช้บ้างก็อยากให้เริ่มจากกรณีลูกป่วยก็สามารถใช้วันลาส่วนนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องยืดไปถึง 1 ปีก็ได้ แต่อยากให้มีวันลาเลี้ยงดูบุตรบ้าง
“หรือกรณีที่บอกว่าสถานศึกษาต้องผูกกับครอบครัว แล้วถ้าน้องมีกิจกรรมโรงเรียนพ่อแม่ลาไปได้ไหม? เด็กจะตาเป็นประกายเลยถ้าพ่อแม่อยู่ตรงนั้น แล้วอย่างที่รู้กันว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว ความผูกพันมันเป็นเหมือนภูมิคุ้มกันที่เขาหยิบไปใช้ได้ตลอด เรื่องนี้ก็น่าจะดีนะในการลาเลี้ยงดูบุตร เริ่มต้นจากการที่แบบว่าน้องป่วยหรือมีกิจกรรมโรงเรียน วันจบอนุบาล วันรับปริญญาอะไรอย่างนี้ น่าจะมีตรงนี้” ต้นน้ำ กล่าว
หมายเหตุ : รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568 ยังมีอีกหลายหัวข้อที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถเข้าไปดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ https://www.thaihealthreport.com/th/index.php
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี