ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกต่างเตรียมพร้อมรับมือกับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) จะเป็นสังคมที่มีประชากรอายุ 60ปีขึ้นไปเท่ากับ หรือมากกว่าร้อยละ20ของประชากรทั้งหมด ภายหลังมีเด็กเกิดใหม่น้อย ขณะที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวหน้าได้ส่งเสริมให้ผู้คนมีชีวิตยืนยาวขึ้น เช่น รายงานจากสำนักข่าวซินหัว ประเทศจีน เผยว่า ประชากรผู้สูงอายุในปักกิ่งทะลุ 5ล้านคนเป็นครั้งแรก โดยจำนวนผู้อยู่อาศัยถาวรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึง 5.14 ล้านคนในปี 2024 คิดเป็นร้อยละ 23.5 ของประชากรทั้งหมด และเพิ่มขึ้น 1.92แสนคนจากปี 2023 และสถิติพบว่าปัจจุบันมีผู้อยู่อาศัยถาวรอายุ 80 ปีขึ้นไป 6.87 แสนคน ครองสัดส่วนร้อยละ3.1ของประชากรทั้งหมด
กรุงปักกิ่งจึงยกระดับบริการดูแลผู้สูงอายุต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2024 โดยหน่วยงานท้องถิ่นดำเนินมาตรการเชิงนโยบาย 20 รายการเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของผู้สูงอายุตอนปลาย ควบคู่กับการจัดตั้งศูนย์บริการดูแลผู้สูงอายุระดับภูมิภาคอย่างครอบคลุม เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลสุขภาพที่บ้าน ทำให้ปัจจุบันปักกิ่งมีสถาบันที่ให้บริการดูแลผู้สูงอายุที่จดทะเบียนแล้ว 608 แห่ง พร้อมเตียงรองรับ 1.09แสนเตียง อีกทั้งได้จัดตั้งศูนย์บริการดูแลผู้สูงอายุระดับภูมิภาค 105แห่ง สถานดูแลผู้สูงอายุกว่า 300แห่งและสถานีบริการผู้สูงอายุในชุมชนกว่า 1,500 แห่ง แล้วสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย เป็นอย่างไร
GISTDA เผยข้อมูลโครงสร้างประชากรของไทยปี 2025 พบว่าประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะ สังคมสูงวัยขั้นสุด (Super-Aged Society) อย่างชัดเจน หลังจำนวนผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) พุ่งสูงถึง 13.6 ล้านคน แซงหน้าเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่เหลือเพียง 9.5ล้านคน ทั้งนี้ จากการนำข้อมูลเชิงสถิติของกรมการปกครองมาทำการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสูงวัยในเชิงพื้นที่ (ระดับตำบล) และแปลงให้อยู่ในรูปแบบของแผนที่เชิงวิเคราะห์ (Insight Map) ทำให้มองเห็นภาพที่สะท้อนความแตกต่างของกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเด็กทั้งประเทศ ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ผลเป็นดังนี้
ภาคเหนือและภาคกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่พบดัชนีผู้สูงวัยสูงที่สุด หลายจังหวัดมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงกว่าเด็กมาก กลายเป็นพื้นที่ “สูงวัยชัด” ซึ่งสะท้อนถึงโครงสร้างสังคมที่เปลี่ยนไปแล้วโดยสมบูรณ์
สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบมีผู้สูงอายุจำนวนมาก เนื่องจากคนวัยทำงานย้ายออก อัตราการเกิดต่ำ แนวโน้มในอนาคต จะเป็นภูมิภาคที่เข้าสู่ “สังคมสูงวัยสุดโต่ง” เช่นกัน
ขณะที่ ภาคตะวันออก พบมีคนวัยทำงานหนาแน่น เมื่อเทียบสัดส่วนกับภูมิภาคอื่น ผู้สูงอายุมีน้อยกว่าภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนชายแดนตะวันตกและภาคใต้ตอนล่าง เช่น ตาก, กาญจนบุรี, ยะลา, ปัตตานี, นราธิวาส กลับมีเด็กจำนวนมากกว่า ทำให้ยังคงเป็นพื้นที่ “เด็กนำ” เพียงไม่กี่แห่งที่เหลืออยู่
สรุปได้ว่า ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง “สังคมสูงวัยครองเมืองแน่นอน” ในทางกลับกันภาคตะวันออก ชายแดนตะวันตก และภาคใต้ตอนล่างเป็นพื้นที่ “เด็กนำ” ชัดเจน
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้หมายถึงเพียงการมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่เด็กเกิดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลต่อกำลังแรงงาน เศรษฐกิจ และการจัดสรรสวัสดิการของรัฐในอนาคต ปัจจุบันหลายจังหวัดเข้าสู่ ภาวะสูงวัยขั้นสุด แล้ว และแนวโน้มกำลังขยายไปทั่วประเทศ แต่คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยพร้อมแค่ไหนที่จะรองรับสังคมสูงวัย ทั้งในด้านแรงงาน ระบบเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี