‘บิ๊กเต่า’ล้างบาง
กวาดจับผู้ต้องหาหนีคดีมาบวชพระ
ลุยต่อ4หมื่นวัดทั่วไทย
ดำเนินการภายใน7วัน
‘สุชาติ’สั่งให้ใช้ยาแรง
คุก-ปรับ‘พระปลอม’
“บิ๊กเต่า”จ่อเปิดปฏิบัติการกวาดลานวัดต่อเนื่อง ล้างบางผู้ต้องหาหนีคดีมาบวชพระ ดำเนินการกว่า4 หมื่นวัดทั่วไทย ภายใน 7 วัน ยันค้นเป้าหมายไปแล้ว 163 จุด จับสึกได้ 153 คน ยังไม่พบตัวอีก 18 จุดขณะที่ “สุชาติ” วาง 3 แนวทางแก้ปัญหาพระสงฆ์ โดยร่วมกับทางตำรวจเปิดปฏิบัติการตรวจค้นพระหนีคดี สั่งเอาผิด“พระปลอม” โทษทั้งจำคุกและปรับ
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กล่าวถึงผลปฏิบัติการของศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา ว่าจากผลปฏิบัติการในช่วงวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา สามารถตรวจค้นเป้าหมายได้ทั้งหมด 163 เป้าหมาย ในจำนวนนี้สามารถจับกุมพระสงฆ์ได้ 153 รูป และในขณะนี้ยังไม่พบตัวอีก 18 เป้าหมาย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวถึงกรณีที่เปิดปฏิบัติการ แต่ภายหลังยังมีพระสงฆ์ 4 รูป ที่ไม่ยอมลาสิกขา ว่า ได้เข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจ พร้อมทั้งให้พระวินยาธิการ พูดคุยเรื่องวินัยสงฆ์ และคำสั่งของมหาเถรสมาคมแล้ว จนทำให้พระสงฆ์ทั้ง 4 รูปดังกล่าว ยอมลาสิกขา เมื่อช่วงเย็นวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา
“หลังจากนี้จะเร่งดำเนินการเตรียมเปิดปฏิบัติการครั้งต่อไป โดยขอข้อมูลการร้องเรียนพระสงฆ์ที่กระทำผิดพระธรรมวินัย จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งพบว่ามีเรื่องร้องเรียนมากกว่า 4,000 เรื่อง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบและได้สั่งการให้ตำรวจในสังกัด บช.ก.ประสานฝ่ายปกครอง และตำรวจในท้องที่ เข้าตรวจสอบวัดกว่า 40,000 วัดทั่วประเทศ โดยมุ่งเป้าไปที่ตู้รับบริจาคบัญชีวัด ไวยาวัจกรวัด และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมารวบรวมไว้เป็นฐานข้อมูล หรือ Big Data ในการเปิดปฏิบัติการครั้งต่อไป โดยจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน” ผบช.ก. กล่าว
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยถึงการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ที่ประพฤติไม่เหมาะสม หรือกระทำผิดกฎหมายว่า รัฐบาลได้วางแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับการบริหารจัดการปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับพระสงฆ์ โดยเฉพาะประเด็นที่ยังไม่มีบทบัญญัติกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันเหตุแห่งความผิดของพระสงฆ์ มี 4 ประเภท ได้แก่ การลักทรัพย์ ฆ่าสัตว์ เสพเมถุน และการอวดอุตริ หากผิดวินัยสงฆ์จะเข้าข่ายอาบัติปาราชิกและต้องสึก แต่ในด้านกฎหมายยังไม่มีบทลงโทษในบางกรณี เช่น เสพเมถุน และอวดอุตริ จึงจำเป็นต้องพิจารณาแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้มีโทษทางอาญา เช่น การจำคุกหรือปรับ เพื่อให้สอดคล้องกับความวิตกกังวลของสังคมและวิกฤตศรัทธา
นายสุชาติ เปิดเผยว่า ได้วางแนวทางแก้ปัญหาไว้ 3 ประเด็น คือ 1.การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น การมั่วสีกา อาจมีมูลเหตุจากความประสงค์ต่อทรัพย์ด้วย จึงควรมีการตรวจสอบรายรับรายจ่ายของวัดและพระอย่างรัดกุม 2.การออกกฎหมายและข้อกำหนด ขณะนี้ได้ประสานให้มหาเถรสมาคม (มส.) ออกกฎระเบียบเพิ่มเติม อาทิ การห้ามวัดถือเงินสดเกิน 1 แสนบาท หากเกินต้องนำฝากธนาคาร และต้องรายงานรายรับรายจ่ายต่อ พศ. ทุกเดือน โดยสรุปรายงานปีละ 1 ครั้ง และ 3.การป้องปราม โดยจะประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ร่วมสอดส่องดูแลพฤติกรรมของพระสงฆ์ในชุมชน ผ่านเครือข่ายผู้นำหมู่บ้านและประชาชนในพื้นที่
พร้อมกันนี้ ยังเตรียมเสนอให้แก้ไขบทลงโทษเกี่ยวกับพระปลอม ที่เข้ามาแอบอ้างบวชเป็นพระสงฆ์ ที่โทษยังเบา จะปรับให้มีโทษทั้งปรับและโทษจำคุก โดยการดำเนินการทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การหารือร่วมกับมหาเถรสมาคม ที่มีหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์โดยตรง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี