จากกรณีเหตุการณ์ ความไม่สงบ ชายแดนไทย – กัมพูชา ถึงแม้จะมีข้อตกลง 13 ข้อ “หยุดยิง” ในการประชุม GBC ที่ประเทศมาเลเซีย ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ในด้านเศรษฐกิจภายในประเทศไทย ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องใช้แรงงานชาวกัมพูชา เช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ,ธุรกิจโรงงาน และ ธุรกิจอื่นอีกมาย
10 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังไซต์งานก่อสร้าง บ้านหรูมูลค่าบ้านกว่า 30 ล้านบาท ที่ ต.โป่ง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และได้พูดคุยกับ นายชิติพัทธ์ อายุ 55 ปี (สันต์) อดีตนักฟุตบอลสโมสรราชนาวี ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ตนเองค่อนข้างที่จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากคนงานชาวกัมพูชาเก็บของเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดหลาย 10 คน ทั้งที่ตัวเองพยายามรั้งและขอร้อง ให้ช่วยทำงานต่อให้เสร็จก่อน
นายชิติพัทธ์ บอกว่า ตนเองประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาเป็นเวลานานหลาย 10 ปี และค่อนข้างที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจาก คนงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานชาวกัมพูชา สาเหตุที่ต้องใช้แรงงานกัมพูชา เพราะคนกัมพูชาค่อนข้างมีฝีมือในงานก่อสร้าง และนิสัยค่อนข้างดี ควบคุมได้ง่าย โดยก่อนหน้านี้ที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ ลูกน้องก็ทำงานตามปกติ แต่พอเกิดสถานการณ์ การสื่อสารในประเทศไทยกับประเทศกัมพูชามีความต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยคนในประเทศกัมพูชาพยายามมาสื่อสารกับคนกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ในเชิงลักษณะ เช่น หากไม่กลับ จะถูกยึดบ้านและที่ดิน ยึดพาสปอร์ต ต่อไปจะไม่มีสถานกงสุลในประเทศไทย ระวังจะถูกคนไทยทำร้าย และอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้กลุ่มลูกน้องกัมพูชาเริ่มกลัวและมีความกังวล ก่อนจะตัดสินใจลาออกและเก็บข้าวของเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดไปจนเกือบหมดเกลี้ยง จนปัจจุบันตนเองเหลือแรงงานชาวกัมพูชาทำงานเพียง 7 - 8 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ยังอยากฝากถึง อดีตผู้นำประเทศกัมพูชา อย่าง สมเด็จฮุน เซน อยากให้มองประชากรของประเทศตัวเองสำคัญมากกว่าธุรกิจส่วนตัว และไม่อยากให้มีการกดดันประชากรของตนเองเดินทางกลับประเทศ รวมถึงผู้นำในประเทศไทย ช่วยหาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ และอยากให้มองผลประโยชน์ของประเทศชาติสำคัญทั้ง 2 ฝั่ง
นายดำ อายุ 40 ปี หนึ่งในคนงานก่อสร้างชาวกัมพูชา มาทำงานอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 5 ปี เล่าว่า ระหว่างที่เกิดการปะทะกันตามแนวชายแดน ยอมรับว่ากลัวมาก เพราะครอบครัวส่วนใหญ่อาศัยอยู่ติดกับชายแดนไทยกัมพูชา และกลัวบ้านจะถูกกระสุนปืน ในปัจจุบันมีเพื่อนร่วมอาชีพสัญชาติเดียวกัน เดินทางกลับประเทศไปจำนวนมาก สาเหตุเป็นเพราะกระแสข่าวในประเทศกัมพูชา หากใครไม่เดินทางกลับจะถูกยึดที่ดินและบ้าน ทำให้ชาวกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยเกิดการหวั่นกลัว และกลัวจะถูกคนไทยทำร้าย จึงตัดสินใจกลับบ้านที่ประเทศกัมพูชา ส่วนที่ตัวเองยังไม่กลับเพราะนายจ้างขอร้องให้อยู่ช่วยงาน และถ้าหากตนเองกลับบ้านไปก็ไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้หนี้ เพราะยอมรับว่ามีการกู้เงินจากจากธนาคารในประเทศกัมพูชามาสร้างบ้าน หากกลับไปคงหาเงินมาใช้หนี้ไม่ได้ สุดท้ายส่วนตัวไม่อยากให้เกิดสงครามและอยากให้ประเทศไทยและประเทศกัมพูชากลับมาดีกันเหมือนเดิม
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปโรงงานอู่ต่อเรือนำเที่ยว เรือสปีดโบ๊ต (เอส อาร์) รายใหญ่ของจังหวัดชลบุรี ในพื้นที่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และได้พูดคุยกับเจ้าของอู่ คือ นายสิทธิกร (หนุ่ม SR) อายุ 42 ปี เปิดเผยว่า ตนเองได้รับผลกระทบอย่างหนักกับเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องโรงงานของตนเองใช้แรงงานกัมพูชากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังเกิดเรื่องทำให้แรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศเกินครึ่ง จนทำให้งานสะดุด งานผลิตชะลอตัว ไม่มีคนทำงาน
ส่วนสาเหตุที่ลูกน้องชาวกัมพูชาเดินทางกลับไป ซึ่งจากการพูดคุยกัน ทราบว่า ญาติๆ ในเขมร โทรศัพท์มาบอกว่า ถูกผู้ใหญ่บ้าน ในหมู่บ้าน มาบอกให้คนกัมพูชาที่ทำงานไทย รีบเดินทางกลับประเทศ มิฉะนั้น จะถูกยึดที่ดิน และถอดชื่อออกทะเบียนราษฎร์ของกัมพูชา แถมยังถูกปั่นกระแสว่าระวังคนไทยจะทำร้าย เวลาเจ็บป่วยไปโรงพยาบาลก็ระวังถูกหมอ พยาบาล ฉีดยาผิดให้ จนทำให้แรงงานชาวกัมพูชา ตัดสินใจเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด ส่วนตัวพยายามเจรจาพูดคุย และการันตีความปลอดภัยให้กับลูกน้อง แต่ก็ไม่สำเร็จ จนทำให้ตอนนี้ตนเองขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก สุดท้ายอยากฝากให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ ทั้งแม้จะเกิดความไม่สงบในเขตชายแดน แต่การทำมาหากินต้องเดินหน้าต่อไป และอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นคนไทยและแรงงานคนกัมพูชา
นายตา อายุ 34 ปี ชาวกัมพูชา ซึ่งทำงานอยู่ในโรงงานอู่ต่อเรือสปีดโบ๊ต บอกว่า ก่อนหน้านี้มีเพื่อนกัมพูชา มาชวนกลับบ้าน โดยบอกว่าจะอยู่ทำไม อยู่ไปก็มีปัญหา อันตรายและไม่ปลอดภัย ซึ่งตนนั้นเจ้านายดูแล และให้คำปรึกษาเป็นอย่างดี รวมถึงรัฐบาลไทยก็ให้เกียรติชาวกับกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทย จึงตัดสินใจไม่กลับ ส่วนตัวเลือกจะไม่ดูข่าวในประเทศตัวเอง เพราะดูไปแล้วก็จะเครียด จนทำให้ตนเองอยากเดินทางกลับบ้าน พร้อมทั้งอยากฝากถึงชาวกัมพูชาไม่อยากให้เกลียดชังคนไทยหรือไปหาเรื่องคนไทย และประเทศไทยยังที่ที่ปลอดภัย อีกทั้งไม่อยากให้ทั้ง 2 ประเทศเกิดปะทะกันอีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี