‘สุชาติ’สั่งพศ.สอบ  เงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ

‘สุชาติ’สั่งพศ.สอบ เงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ

วันพุธ ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

“สุชาติ” สั่ง พศ.ตั้งกรรมการสอบวัดพระบาทน้ำพุ ปมเงินบริจาควัดโวย พศ.จังหวัด ทำงานล่าช้า ด้านตำรวจกองปราบฯจี้ติดปมฉ้อโกง พบพฤติการณ์ “หมอบี” เข้าข่ายกระทำผิด แฉเงินบริจาคจำนวนมหาศาล ทำให้ถูกใช้นอกลู่นอกทางผิดวัตถุประสงค์ผู้บริจาค ชี้หลวงพ่ออลงกต มีพฤติกรรมผิดปกติมานาน

เมื่อวันที่ 12สิงหาคมนายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับกรณีเงินบริจาคและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในวัดพระบาทน้ำพุจ.ลพบุรี ว่าขณะนี้ได้มีคำสั่งให้สำนักสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสำนักพุทธศาสนาประจำจังหวัดที่ตั้งของวัดพระบาทน้ำพุยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น และก่อนหน้านี้ตนเคยมอบนโยบายให้ พศ.ทำงานเชิงรุก ไม่ใช่ตั้งรับเพียงอย่างเดียว


นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ได้กำชับให้พศ.ติดตามการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด ว่าปฏิบัติหน้าที่หย่อนยานหรือไม่ เพราะสังเกตว่าเราจะรู้ปัญหาหลังจากที่เกิดเหตุตลอด ทั้งกรณีที่เกิดขึ้นภายในวัดพระบาทน้ำพุ และกรณีอื่นๆอย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นในวัดพระบาทน้ำพุ จะตรวจสอบหาข้อเท็จจริงให้กระจ่างโดยเร็วที่สุด หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่าเข้าข่ายกระทำความผิด จะดำเนินการตามระเบียบและกรอบอำนาจที่ทำได้ ซึ่งตนในฐานะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ กำกับดูแล พศ.จะเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการพระสงฆ์ให้เกิดความกระจ่าง เพื่อเรียกความศรัทธาคืนให้กับประชาชน

วันเดียวกัน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม (รองผบก.ป.) กล่าวถึงกรณีนายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือหมอบี ซึ่งประกาศรับเงินบริจาคเข้าวัดพระบาทน้ำพุ ว่าขณะนี้การรวบรวมพยานหลักฐานมีความคืบหน้าไปมาก หลักฐานบางส่วนพบว่านายเสกสันน์ เข้าข่ายกระทำผิดฐานฉ้อโกง แต่ยังต้องพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงว่าเงินที่หายไปเอาไปใช้ในส่วนไหน โดยนายเสกสันน์ อ้างว่าใช้ในโครงการต่างๆ ของวัด ทั้งโครงการทุนนักเรียนนอก และโครงการไถ่ชีวิตโคกระบือ

รอง ผบก.ป.กล่าวต่อว่า ในส่วนรถยนต์หรู คำให้การนายเสกสันน์ยอมรับว่าเป็นทรัพย์สินของทางวัดจริง เตรียมส่งมอบคืนให้กับวัด แต่ยังคงต้องตรวจสอบที่มาของทรัพย์สิน เนื่องจากชื่อผู้ครอบครองรถยนต์ดังกล่าวเป็นชื่อของเครือญาตินายเสกสันน์

ด้านความคืบหน้าการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า มีการสอบปากคำไปแล้วกว่า 20 คน ซึ่งเป็นพยานทั้งฝั่งนายเสกสันน์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับวัดพระบาทน้ำพุ ส่วนหลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดให้การในเบื้องต้นแล้ว พร้อมกับขอดูหลักฐานต่างๆ พบว่ามีบางธุรกรรมที่หลวงพ่อเป็นผู้ลงรายมือชื่อด้วยตัวเอง แต่บางส่วนยังขาดหายไป จำเป็นต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง

สำหรับกรณีที่พบว่าที่ดินของวัด 2,326 ไร่ มีชื่อบุคคลและนิติบุคคลของวัดเข้ามาถือครองนั้น พนักงานสอบสวน บก.ป.จะประสานให้กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ตรวจสอบเรื่องนี้แทน เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในภาครัฐ ซึ่งทางพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รองผบช.ก.) ระบุว่าทราบเรื่องแล้ว แต่ยังต้องหารือร่วมกับพนักงานสอบสวนบก.ป.เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้อง ภายในวันที่ 13 สิงหาคมนี้

ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบนายเสกสันน์และวัดพระบาทน้ำพุ จากแหล่งข่าวระดับสูงในบช.ก.ว่าประเด็นการพิจารณาขอศาลออกหมายค้นนั้น เบื้องต้นยังไม่ได้มีหมายค้นสถานที่ใด เนื่องจากคณะพนักงานสอบสวนจะต้องหารือถึงพยานหลักฐานและข้อมูลที่ได้มาก่อน ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ ส่วนการให้ปากคำของหมอบีเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนจะต้องนำไปตรวจสอบอีกครั้งว่ามีความสอดคล้องกับพยานหลักฐานอื่นๆ หรือไม่

แหล่งข่าวระบุอีกว่า สาเหตุที่พนักงานสอบสวนบก.ป.ตรวจสอบเรื่องหมอบี และหลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ เนื่องจากเล็งเห็นเรื่องของส่วนรวมเป็นตัวตั้ง และเงินบริจาคของพี่น้องประชาชนจะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ ส่วนการบริหารจัดการของวัด พบว่าช่วงแรกมีความตั้งใจในการช่วยเหลือคนจริง แต่ภายหลังเมื่อเห็นเงินเข้ามาเยอะ จึงอาจมีการนำไปใช้อย่างออกนอกลู่นอกทางถามว่าถือเป็นการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์หรือไม่นั้น ก็อาจมองเป็นเช่นนั้นได้ แต่ต้องตรวจสอบรายละเอียดให้ได้มากพอสมควรก่อน เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีข้อมูลและทำอย่างรอบคอบ มีรายละเอียดเพื่อชี้แจงสังคมไทย

เมื่อถามว่ากรณีของหมอบี ถือว่ามีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายจะเป็นการยักยอกทรัพย์หรือฟอกเงินหรือไม่ แหล่งข่าวระบุว่า มีความหมิ่นเหม่ แต่ขอดำเนินการตรวจสอบอย่างรอบคอบก่อน ส่วนว่าหลังจากนี้หมอบีจะเป็นผู้ถูกกล่าวโทษหรือไม่ตำรวจก็จะทำตามพยานหลักฐาน หากตรวจสอบแล้วพบอะไรก็ดำเนินการต่อไปตามนั้น หากมีผู้เสียหายเป็นผู้มาบริจาคเงินแล้วพบว่าเงินถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์ ก็สามารถเรียกมาเป็นพยานได้ จากนั้นทางตำรวจจึงจะกล่าวหาได้

“สำหรับพฤติการณ์ที่เป็นการยักยอกทรัพย์หรือฉ้อโกงอย่างไรนั้น คณะพนักงานสอบสวนจะต้องมีพฤติการณ์ที่ไม่สุจริต ปิดบังอำพราง เอาทรัพย์สินจากวัดไปอยู่กับคนอื่นหรือของตนเอง”แหล่งข่าวระบุ

เมื่อถามต่อว่าพนักงานสอบสวนกำหนดมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง แหล่งข่าวยกตัวอย่างกรณีเจ้าคุณแย้ม ที่มีความเสียหายเยอะ ก็ต้องไปขยายต่อว่ามีความเสียหายอย่างไร แต่เบื้องต้นการทำงานจะต้องดูข้อเท็จจริงและสืบสวนจากเรื่องที่มีความชัดเจนก่อน ต้องมองว่าเงินที่ชาวบ้านมอบให้นั้นเป็นของวัด เพื่อวัดก็ต้องกลับไปอยู่กับวัด จะเอาไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือทรัพย์สินอะไร

ส่วนกรณีพระอลงกต ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ ยังค่อนข้างมีความคลุมเครือ เนื่องด้วยสมัยก่อนพระอลงกตเคยเป็นจิตอาสาช่วยเหลือคน แต่เมื่อขอบริจาคและรู้ว่าเงินศรัทธาเข้ามามหาศาล ก็เปลี่ยนแปลงสภาพ ผ่องถ่ายไปยังที่อื่น แต่พระอลงกต ยังขายศรัทธา จนมีปัญหาเรื่องงานบริหารภายในวัด ทุกคนมาเอาผลประโยชน์ พระอลงกตไม่รู้ว่าคิดดีหรือคิดไม่ดี แต่มุ่งเน้นไปที่เงินบริจาคจนมากเกินไป ซึ่งมองว่าพระควรมีความพอดี หากจะทำก็ขอให้ทำอย่างมีประโยชน์ เช่น การสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ช่วยเหลือคนยากจน ไม่ใช่เอามาแปรสภาพและให้คนถือครอง ถือว่าไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ พฤติการณ์ของพระอลงกตมีความผิดปกติมาประมาณ 20 กว่าปีแล้ว หากบริสุทธิ์ใจจริงต้องเอาที่ดินเข้าสู่วัด เข้าสู่มูลนิธิ หากไม่ได้นำเข้ามา ตำรวจก็ต้องไปตามนอกจากนี้มีการรายงานว่า พนักงานสอบสวนบก.ป.เตรียมประชุมหารือความคืบหน้าคดีหมอบี ว่าจะเข้าข่ายเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา 147 และ 157 หรือไม่

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top