มทภ.2ชี้สถานการณ์ชายแดน50-50
เขมรไว้ใจไม่ได้!
ลั่นหากต้องปะทะกองทัพพร้อมสู้
หนุนรบ.ฟันอาชญากรสงคราม
เขมรห้าวป่วนผู้แทน8ประเทศ
มท.1ย้ำฟ้องผู้นำเขมรศาลไทย
กฤษฎีกาชี้ช่องมท.ช่วยฟ้องแพ่ง
โฆษกทบ.ซัดเขมรบิดเบือนไม่เลิก ชี้กระสุนฟอสฟอรัสขาวไม่ใช่อาวุธเคมี ไร้ข้อห้ามเก็บรักษาคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน 8 ปท.ตรวจเยี่ยมช่องอานม้า ทหารเขมรโผล่โวยวายห้ามเข้าพื้นที่ อ้างมาเกินจำนวนที่กำหนด มทภ.2 ซัดเขมรป่วนแค่ลีลาประท้วงเชิงสัญลักษณ์ เป็นการกระทำไร้มารยาท ลั่นเขมรไว้ใจไม่ได้ ประเมินสถานการณ์ชายแดนยัง 50-50 ถ้าต้องปะทะทหารพร้อมสู้ แต่หวังยุติโดยเร็ว เตรียมถก RBC– GBC ให้ได้สรุป เผยจีนเสนอเป็นตัวกลางถกเก็บกู้ทุ่นระเบิด ถ้าไม่ตอบรับจะฟ้องชาวโลก หนุนรบ.เดินหน้าฟ้องผู้นำเขมร ผิดอาชญากรสงคราม “เลขาฯกฤษฎีกา”ชี้ช่อง มท.ช่วยปชช.ฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหาย“ฮุน เซน-ผู้นำเขมร” ทำปชช.เดือดร้อน แปลกใจ ฟ้องตามกม.ไทย ทำคนโมโห
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) กล่าวสรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัด ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 18 สิงหาคม ถึงเวลา 06.00 น. วันที่ 19 สิงหาคม เหตุการณ์ปกติ กองทัพไทยยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นทั้ง 11 พื้นที่ และวางรั้วลวดหนามอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาอธิปไตยของไทยไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้ามา ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในการรักษาข้อตกลงหยุดยิงหลังเที่ยงคืน 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา อยู่ตรงไหน ให้อยู่ตรงนั้น และเดินหน้าแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี
ยันไม่รื้อรั้วลวดหนามเด็ดขาด
ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยปกป้องอธิปไตยของไทย และจะไม่ยอมให้มีการละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดน สำหรับการล้อมรั้วลวดหนามจะไม่มีการรื้อถอนอย่างเด็ดขาด และยืนยันจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาอธิปไตยในเขตแดนของประเทศไทย และดูแลความปลอดภัยของคนไทยในพื้นที่
ซัดเขมรบิดเบือนกระสุนWPไม่ใช่อาวุธเคมี
พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีนายเฮง รัตนา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAC) เผยแพร่ข้อมูลอ้างว่า ผู้เชี่ยวชาญของ CMAC ตรวจพบกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตร บรรจุสารฟอสฟอรัสขาว (White Phosphorus – WP) ในพื้นที่จ.อุดรมีชัย พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเป็นผลจากการยิงของกองทัพไทยช่วงความขัดแย้ง 5 วันและเป็นกระสุนมีลักษณะเป็นอาวุธเพลิงก่อควันพิษ
โฆษกกองทัพบกยืนยันว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ปราศจากหลักฐานสนับสนุน และไม่มีน้ำหนักทางกฎหมาย พร้อมชี้แจงว่า กระสุนฟอสฟอรัสขาว (WP) มีวัตถุประสงค์หลักใช้สร้างควัน แสงสว่าง ระเบิด และเพลิง ไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอาวุธเคมีตามอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention – CWC) อีกทั้งไม่มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศใดที่ห้ามเก็บรักษาหรือการใช้งานกระสุนชนิดนี้ ไทยจึงสามารถเก็บรักษาและใช้ตามภารกิจทางทหารได้ภายใต้กฎหมายสากล
ในส่วนอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธตามแบบบางชนิด (Convention on Certain Conventional Weapons – CCW) พิธีสารที่ 3 กำหนดห้ามการใช้อาวุธเพลิงที่ออกแบบมาเพื่อเผาไหม้บุคคลโดยตรง แต่กระสุน WP ไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มดังกล่าว ทั้งนี้ การใช้กระสุน WP ของกองทัพบกไทยอยู่ภายใต้ระเบียบการควบคุมอย่างเข้มงวด ใช้ต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ไม่เคยนำไปใช้มุ่งทำลายชีวิตพลเรือน
พลตรีวินธัยย้ำว่า การครอบครองและการใช้กระสุน WP ของกองทัพไทยเคร่งครัดตามกรอบกฎหมายสากล ควบคุมรัดกุม และสอดคล้องกับหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ จึงเห็นได้ว่าข้อกล่าวหาที่กัมพูชาเผยแพร่เป็นเพียงความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเข้าใจผิดในเวทีสาธารณะเท่านั้น
8ปท.สังเกตการณ์ตรวจช่องอานม้า
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบัญชาการกองทัพไทย โดยกรมข่าวทหาร นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) จาก 8 ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย ลาว อินโดนีเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม รวม 14 นาย โดยมี พลตรี ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย เป็นหัวหน้าคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อติดตามสถานการณ์และตรวจสอบกรณีฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามาตัดลวดหนาม ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและกระทบต่อความไว้วางใจระหว่างสองประเทศ
ทหารเขมรโวยลั่นไม่ให้เข้าเขตเขมร
ในการลงพื้นที่ดังกล่าว ปรากฏว่ามีทหารกัมพูชานายหนึ่งแสดงท่าทีไม่พอใจ ส่งเสียงดังโวยวาย ไม่อนุญาตให้ฝ่ายไทยนำคณะเข้าสำรวจพื้นที่โดยรอบ โดยอ้างว่ามีจำนวนผู้ติดตามมากเกินไป และอนุญาตเพียงให้คณะผู้สังเกตการณ์เดินทางเข้าสู่บริเวณอนุสาวรีย์ตาอมเท่านั้น ส่วนสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ไทยถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่ร้านค้าข้างเคียงทั้งนี้ ทหารกัมพูชาคนดังกล่าวอ้างถึงอธิปไตยของกัมพูชาและพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อดึงความสนใจจากคณะผู้สังเกตการณ์ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม คณะผู้สังเกตการณ์ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบพื้นที่และการรับฟังบรรยายสรุปจากฝ่ายทหารไทยเป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า คณะผู้สังเกตการณ์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการตรวจเยี่ยมพื้นที่ พบว่าร้านค้าบริเวณโดยรอบได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์สู้รบในอดีต ทั้งจากการระเบิดและเพลิงไหม้ ขณะที่อนุสาวรีย์ตาอมยังเป็นจุดสำคัญของการตรวจสอบ นอกจากนี้ ฝ่ายไทยได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า พื้นที่ฝั่งกัมพูชาเคยใช้เป็นศูนย์อพยพของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ก่อนปรับเปลี่ยนเป็นสถานประกอบการคาสิโนในปัจจุบัน
สำหรับช่องอานม้า เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่เคยเกิดการสู้รบสำคัญระหว่างไทยและกัมพูชา ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายจัดกำลังทหารตรึงพื้นที่โดยปราศจากอาวุธ ตามข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้อยู่ขณะนี้
เขมรป่วนIOTแค่ลีลาเชิงสัญลักษณ์ไร้มารยาท
ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวหรือ IOT บริเวณช่องอ่านม้า จังหวัดอุบลราชธานี และเกิดเหตุทหารกัมพูชานายหนึ่ง เข้ามาขัดขวางการลงพื้นที่ โดยอ้างว่าทางการไทยไม่ยอมแจ้งรายละเอียด รวมทั้งนำคณะมาจำนวนมากกว่าไม่มีอะไร เป็นลีลาของกัมพูชา พร้อมยืนยันว่าพื้นที่บริเวณนั้น อยู่ในอธิปไตยของไทยและสามารถนำคณะเดินทางเข้าไปได้ ในทางกลับกัน ครั้งที่ผ่านมากัมพูชานำคณะลงพื้นที่สังเกตการณ์ในลักษณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ขออนุญาตทางการไทย อาจมองได้ว่าการแสดงท่าทีเช่นนี้ เป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ของฝ่ายกัมพูชา อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่า คณะสังเกตการณ์ชั่วคราวที่ลงพื้นที่มีความเป็นกลาง ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และถือเป็นเรื่องดีที่ไทยนำคณะดังกล่าวลงพื้นที่วันนี้ เชื่อว่าข้อมูลทั้งหมดจากการลงพื้นที่จะถูกนำเสนอต่อนานาชาติ ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่มีน้ำหนัก และน่าเชื่อถือ เช่นเดียวกับการที่กระทรวงการต่างประเทศนำคณะทูตลงพื้นที่สำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการโจมตีของกัมพูชาอย่างไม่เลือกเป้าต่อพื้นที่พลเรือนเช่นที่เกิดขึ้นบริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ จังหวัดศรีสะเกษ
“เป็นปกติของการปฎิบัติของทหารเขมร เป็นการประท้วงทางสัญลักษณ์ เพราะจุดนั้นเป็นพื้นที่ที่เราแย่งชิง และไทยยืนยันเป็นเส้นเขตแดนของไทย ส่วนการกระทำที่เกิดขึ้นต่อหน้าคณะผู้สังเกตการณ์ จะส่งผลอะไรหรือไม่ ผมมองว่า เรื่องนี้ฝ่ายกัมพูชาจะเสียมากกว่า ไม่มีมารยาท” แม่ทัพภาคที่2ระบุ
“ในหลวง”ทรงห่วงใยทหารบาดเจ็บ
พล.ท.บุญสินยังกล่าวหลังพิธีมอบความช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงของฐานที่มั่นจากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เหตุการณ์ตลอดแนวชายแดนเกือบ 1,000 กิโลเมตร ลูกหลานทหารพยายามทำให้ดีที่สุด การสูญเสียพวกเราป้องกันอย่างเข้มงวดทุกระดับชั้น แต่การเข้าตีบางอย่างเราเป็นฝ่ายรุกอาจมีเหตุที่พวกเราบาดเจ็บบ้าง
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยทหารทุกนายที่ได้รับผลกระทบ การปฎิบัติด้านยุทธการครั้งนี้ พระองค์ทรงรับเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ทั้งหมด”แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว และว่า ขอขอบคุณสิ่งของที่มอบให้ในวันนี้ จะนำไปใช้กับน้องๆที่อยู่หน้าแนวตามวัตถุประสงค์ที่ทุกท่านมอบให้โดยด่วน ซึ่งบางครั้งงบประมาณราชการ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก รัฐบาล ได้มอบให้เพียงพอ แต่บางรายการนั้นเร่งด่วน รอจัดหาตามช่วงเวลาไม่ทัน ต้องขอบคุณทุกท่านที่สอบถามไปยังหน่วย
ลั่นเขมรไว้ใจไม่ได้-สถานการณ์50/50
แม่ทัพภาคที่2ระบุด้วยว่า ช่วงนี้สถานการณ์ชายแดนยัง 50-50 ตามภาพข่าว เขมรก็เป็นไปตามที่เราเข้าใจ ไม่มีอะไรที่เราไว้ใจได้ ปัจจุบันกองทัพภาคที่ 2 โดยพล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีความห่วงใยลงไปตรวจเยี่ยมเป็นประจำ รวมถึงผบ.ทบ.ซึ่งเหล่าทัพมีความพร้อม ทั้งที่จะคุยแบบมิตรภาพ ถ้ามีเหตุจะปะทะกันอีกก็พร้อม
แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวอีกว่า ขอให้พี่น้องสบายใจในการปฏิบัติของทหารเรา หวังว่าเหตุการณ์พวกนี้จะยุติโดยเร็ว ปลายเดือนสิงหาคม ตนจะประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรือ RBC กับฝ่ายกัมพูชาเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และนำไปสู่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือ GBC
อีกรอบ หวังว่าจะคุยกันเข้าใจ โดยทุกสิ่งทุกอย่างตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก พร้อมยืนยันว่า พวกเราพร้อมทำหน้าที่ ตามที่ทุกท่านส่งกำลังใจให้และฝากความหวังไว้ พวกเราจะทำให้ดีที่สุด
บี้เขมรรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ช่องอานม้า
พล.ท.บุญสินยังกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค(RBC )ครั้งนี้จะพูดคุยพื้นที่ช่องอานม้า ที่กัมพูชารุกล้ำเข้ามาตั้งร้านค้าด้วยหรือไม่ว่า เรื่องช่องอานม้าเป็นเรื่องเดิม ที่ต้องคุยในภาพรวมอยู่แล้วตลอดแนวชายแดน ถ้าเราควบคุมพื้นที่ตรงไหนก็ต้องอยู่ตรงนั้น จะไม่ให้กัมพูชาเข้ามาใช้ประโยชน์อีก เพราะผิดหลักการ MOU 43 เนื่องจากพื้นที่ที่อยู่ใกล้เส้นเขตแดน จะไม่ให้มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ เพราะการปักปันเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จส่วนไทยมีอำนาจรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของเขมรที่ช่องอานม้าหรือไม่นั้น เราพยายามให้เขมรเป็นฝ่ายรื้อออกไปเองและที่เขมรพยายามแอบอ้างสิ่งปลูกสร้างตรงนั้น เป็นบ้านเรือนของเขมร ที่จริงเขมรรุกล้ำมานานแล้ว เป็นสิ่งที่ไทยประสงค์ให้เขาออกไปเช่นกัน
จีนเสนอเป็นตัวกลางถกเก็บกู้ทุ่นระเบิด
ผู้สื่อข่าวถามว่าการเกิดเหตุแบบนี้จะส่งผลต่อการประชุม RBC หรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 2 บอกว่า คงไม่ เป็นเรื่องปกติที่เข้าใจกันได้การประชุม RBC จะประชุมตามกรอบที่หน่วยเหนือกำหนดให้ ซึ่งแม่ทัพของทั้ง 2 ประเทศจะคุยกันส่วนผลหารือ RBC ในพื้นที่กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ที่เขมรไม่ตอบรับการจัดการทุ่นระเบิด คิดว่าในส่วนการพูดคุยของกองทัพภาคที่ 2 จะเป็นลักษณะใด พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า เห็นว่าจีนจะเข้ามาเป็นตัวกลาง ขอความร่วมมือทั้งสองประเทศ ให้เก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่เราจะใส่ไปในการพูดคุย RBC ส่วนเขมรจะยอมฟังจีนหรือไม่นั้น ถ้าไม่ฟัง ไทยก็จะชี้แจงให้ชาวโลกรู้ว่ากัมพูชาไม่ยอมรับการเก็บกู้ทุ่นระเบิด
ไทยไม่ได้ใช้ทุ่นระเบิด-เขมรวางเองปฎิเสธไม่ได้
ส่วนที่เขมรออกมาระบุไทยพยายามจัดฉากเรื่องทุ่นระเบิด ทางกองทัพมีหลักฐานจะพิสูจน์เรื่องนี้หรือไม่ว่าทุ่นระเบิดเป็นของกัมพูชา แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ก็เราไม่ได้ใช้ ทุ่นระเบิดเป็นอาวุธที่ค่ายสังคมนิยมใช้ไม่มีใช้ในไทย และเราเคารพอนุสัญญาออตตาวาอยู่แล้ว เรื่องนี้เข้าใจอยู่แล้วว่าใครเป็นคนวาง เราเข้าใจบุคลิกของประเทศเพื่อนบ้านอยู่แล้ว
”เรื่องทุ่นระเบิด เขาวางเอง เขาก็ปฏิเสธเองอยู่แล้ว คงไม่มีใครยอมรับ เรื่องนี้เราจึงพยายามเข้าสู่ที่ประชุม เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล จะได้เก็บกู้ร่วมกัน โดยองค์กรสากลที่เป็นกลาง”แม่ทัพภาคที่2กล่าว
ยันสถานการณ์ไม่ดีขึ้นปิดตายคุยเปิดด่าน
เมื่อถามว่า การประชุม RBC จะยื่นข้อเสนอเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า คงไม่ได้เอาเข้าที่ประชุม ถ้าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายไปในทางที่ดี เราก็คงยังไม่มีการคุยกันเรื่องนี้
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับรั้วลวดหนามในขณะนี้ เราควรวางรั้วลวดหนามในบริเวณชายแดนยาวเลยหรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ตนก็เห็นด้วย แต่ว่ารั้วที่วางระหว่างประเทศ หากจะให้เกิดความเรียบร้อย ทั้งสองฝ่ายต้องเข้าใจตรงกัน มิฉะนั้นหากฝ่ายหนึ่งวาง ฝ่ายหนึ่งรื้อ และฝ่ายหนึ่งประท้วง มันก็ไม่จบ ต้องหารือระดับรัฐบาลว่าแนวเส้นเขตแดนที่เราตกลงกันได้ มีจุดใดบ้าง แล้วจึงดำเนินการถึงจะเรียบร้อย
หนุนรบ.ฟ้องเขมรเป็นสิ่งที่ต้องทำ
ผู้สื่อข่าวถามถึงที่แม่ทัพกล่าวว่าสถานการณ์ขณะนี้อาจมีการสู้รบกันใหม่เกิดขึ้น 50:50 มีปัจจัยใดที่จะส่งผลให้เกิดการสู้รบขึ้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับนโยบายผู้นำกัมพูชา ถามย้ำว่า ในวันนี้เขามีความพร้อมที่จะรบกับไทยแล้วหรือไม่ พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “ถ้าเขาพร้อม เราพร้อมอยู่แล้ว”
ถามต่อว่า ปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เกิดการรบครั้งใหม่ อาจมาจากการที่ไทยเตรียมฟ้องกัมพูชาข้อหาอาชญากรสงคราม รวมทั้งกรณีสร้างความสูญเสียต่อพื้นที่พลเรือนของไทยหรือไม่ พล.ท.บุญสิน ระบุว่า เป็นสิทธิของเรา และตนก็เห็นด้วยตามแนวทางปฏิบัติรัฐบาล โดยให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการยื่นฟ้องในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหลักสากล ยืนยันว่าต้องปฏิบัติ ส่วนจะเป็นปัจจัยทำให้การพูดคุยกันยากขึ้นหรือไม่นั้น มองว่า กลับกันเขมรก็ยื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในประเด็นพื้นที่พิพาท 4 แห่ง ดังนั้นไทยก็จะยื่นฟ้องประเด็นนี้เช่นกัน เนื่องจากมีหลักฐานทางกายภาพชัดเจน
พล.ท.บุญสินกล่าวด้วยว่า กองทัพจะส่งหลักฐานให้ตำรวจภูธรภาค 3 เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานส่งอัยการสูงสุดพิจารณาเอาผิด 2 ผู้นำกัมพูชาด้วย และกองทัพภาคที่ 2 พร้อมสนับสนุนหลักฐานอยู่แล้ว เพื่อดำเนินการตามกระบวนการ เพื่อนำไปดำเนินคดีต่อผู้ทำผิด ทั้งนี้ กรณีทหารได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต กองทัพภาคที่ 2 จะดำเนินการในฝ่ายทหารที่เราทำได้ในกรอบกฎหมาย เช่นดูแลสิทธิต่างๆ ตามแนวทางเมื่อมีการปะทะกัน ระหว่างทหารทั้งสองประเทศ
ยันข่าวปลอมโปรดเกล้าฯตำแหน่งใหม่มทภ.2
พล.ท.บุญสินยังกล่าวถึงกรณีมีกระแสในโซเชียลมีเดียว่ามีการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งใหม่ของแม่ทัพภาคที่ 2 รวมทั้งตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า เป็นเฟกนิวส์ ไม่ทราบเป็นความพยายามของกลุ่มการเมืองใดที่ขย่มข่าวนี้ออกมาเพื่อคาดหวังกระแสอะไรหรือไม่ แต่แจ้งไปแล้วว่าไม่ใช่เรื่องจริงนอกจากนี้ กระแสข่าวดังกล่าว จะเป็นกระแสต่อต้านแคนดิเดตแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่หรือไม่ อย่างไร พลโท บุญสิน ปฏิเสธเช่นกันว่า ไม่ทราบวัตถุประสงค์ของผู้ทำ ยืนยันว่าเป็นข่าวปลอม
เมื่อถามว่า หากแม่ทัพภาคที่ 2 ท่านใหม่ เชิญไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษจะตัดสินใจอย่างไร พล.ท.บุญสินกล่าวว่า ตนยินดีช่วยเหลือประเทศชาติ ถ้าเป็นเรื่องที่เราช่วยได้ ก็พร้อมช่วยทุกคนและกองทัพบกอยู่แล้ว
ย้ำฟ้องผู้นำเขมรต่อศาลไทยไม่ปิดICC
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้ฟ้องฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาทั้งแพ่งและอาญา ต่อศาลไทยกรณีสร้างความเสียหายแก่ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนไทย จะไปถึงอาชญากรสงครามต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ได้หรือไม่ว่า การฟ้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและเงื่อนไข ซึ่งฝ่ายกฎหมายของสมช. กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพได้ร่วมกันพิจารณาไปตามกระบวนการ ตนคิดว่าเหมาะสมตามสภาพ ถ้าทำได้เขาก็คงทำ ไม่มีปัญหา แต่เราเริ่มสตาร์ทเรื่องนี้ก่อน
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า หากมีช่องทางนำเรื่องไปสู่ภายนอกประเทศได้จะทำใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ยังไม่ไปถึงตรงนั้น ขณะนี้เป็นเรื่องในประเทศ ส่วนที่นักวิชาการแสดงความเห็นว่า เราสามารถรับเขตอำนาจศาลโลกได้บางเรื่อง เพราะเป็นเรื่องเข้าข่ายอาชญากรนั้น ก็ให้เขาทำเรื่องเสนอเป็นทางการมา ตนจะให้ฝ่ายกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปพิจารณา และกรณีฮุนเซนระบุถ้าเจอผู้นำไทยในประเทศประเทศกัมพูชา จะดำเนินแจ้งจับเหมือนกัน นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าสมเด็จฮุนเซน จะทำอะไร หรือคิดอะไร มติสมช.วานนี้ (18 ส.ค.) เป็นสิ่งที่เราคิดภายในประเทศเรา ดูจากความเสียหายที่เกิดขึ้น และดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่.
กต.เล็งถกฟ้องผู้นำเขมร-ย้ำต้องรักษาสมดุล
ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีไทยเตรียมฟ้องผู้นำกัมพูชาทั้งทางแพ่งและอาญา ฐานทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยว่า เป็นไปตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.มหาดไทยแถลงเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ต้องพิจารณาตามมติของที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้ฟ้องดำเนินคดีส่วนความกังวลจะกระทบความสัมพันธ์ในการเจรจากรอบต่างๆนั้น เป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการ เรื่องนี้มีทั้ง 2 ด้านคือ กัมพูชาละเมิดสิทธิต่างๆของคนไทย และสร้างความเสียหายให้ไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องดูรายละเอียด ขณะนี้เป็นเพียงหลักการว่าเราจะพิจารณาดำเนินการ ต้องปล่อยให้ฟ้องร้อง และดูความเหมาะสมต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนักวิชาการกังวลว่าการฟ้องอาจกระทบความสัมพันธ์ นายมาริษกล่าวว่า ตนเข้าใจ ในที่ประชุมได้คุยหลักการหลังจากนี้ต้องคุยกันในรายละเอียดว่าจะดำเนินการขนาดไหน อย่างไร โดยต้องดูผลกระทบในการเจรจา รวมถึงการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพด้วย โดยจะพยายามให้ทุกอย่างสมบูรณ์ที่สุด จึงต้องจัดสมดุลให้ดี
ถามว่าการที่จะใช้กฎหมายระหว่างประเทศดำเนินการกับกัมพูชา จะดำเนินการอย่างไร นายมาริษ กล่าวว่า เป็นไปตามมติสมช. ต้องดูรายละเอียดการฟ้องของกฎหมายไทยว่าจะฟ้องขนาดไหน อย่างไร ต้องดูให้ดี โดยดูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กัน และต้องทำทุกอย่างให้ราบรื่นที่สุดดีที่สุด เพื่อประโยชน์ประเทศชาติ โดยคำนึงถึงมิติต่างๆ รวมทั้งการต่างประเทศ แต่ก็ต้องรักษาอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย รวมถึงผลประโยชน์ประชาชนและประเทศไทยด้วย
อสส.รับหน้าที่ฟ้องอาญาผิดหลายกระทง
ด้านนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงการฟ้องคดีเอาผิดผู้นำกัมพูชา ตามกฏหมายไทย จากสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เป็นการนำตัวผู้ทำผิด ผู้สั่งการมาดำเนินคดีในไทย กรณีที่ไม่สามารถนำตัวผู้ทำผิดมาลงโทษในประเทศได้ เนื่องจากมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฏหมายระหว่างประเทศ แต่คนที่ไม่มีเอกสิทธิ์ ถ้าเข้ามาต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไทย โดยอัยการสูงสุดจะเป็นผู้ดำเนินการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20เนื่องจากคดีนี้มีความผิดอาญาหลายกระทง ทั้งความมั่นคงนอกราชอาณาจักร การฆ่าคน และมีผู้เสียชีวิต ความผิดต่อทรัพย์สินทรัพย์สินเสียหาย โดยขั้นตอนต่อจากนี้ตำรวจภูธรภาคสามจะรวบรวมหลักฐานส่งให้อัยการสูงสุดดำเนินคดี
ชี้ช่องให้มท.ฟันแพ่งสืบทรัพย์ในไทยชดใช้
นายปกรณ์กล่าวต่อว่า ส่วนความเสียหายทางแพ่ง ทั้งที่เกิดในส่วนราชการและภาคเอกชน กระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลจากประชาชน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีและเรียกร้องค่าเสียหายให้ประชาชน โดยขอให้อัยการเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งนี้หากดำเนินคดีเอาผิดทางแพ่งและสืบทรัพย์ของผู้ทำผิดว่ามีทรัพย์สินอยู่ในประเทศไทยก็สามารถดำเนินการตามกระบวนการเพื่อนำทรัพย์มาชดเชยให้ประชาชนที่เสียหาย ได้
งงฟ้องตามกม.ไทยทำคนโมโห
“เห็นว่าพอจะฟ้องกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีใครเดือดร้อนแต่พอบอกว่าจะดำเนินคดีตามกฏหมายไทย กลับโมโหขึ้นมา อันนี้น่าแปลก” เลขาฯกฤษฎีกา กล่าว และว่าส่วนกรณีฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ระบุจะฟ้องดำเนินคดีกับผู้นำไทย ขึ้นอยู่กับกฎหมายแต่ละประเทศ ไม่ก้าวล่วงกัน
ไทยปฎิเสธมาเลย์ต่อสายขอเพิ่มกก.IOT
ขณะที่พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะรักษาราชการแทน รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีทหารเขมรไม่พอใจออกมาขัดขวางไทยนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวอาเซียน (ไอโอที) ลงพื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานีว่า คงต้องค่อยๆคุยกันไป เพราะเราตกลงกันแล้วตั้งแต่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี)ว่าจะนำไอโอทีลงไป ความตั้งใจของตนหลังประชุมจีบีซีต้องประชุมคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค(อาร์บีซี)ต่อ รายละเอียดการปฏิบัติพื้นที่ต้องเป็นผู้ลงรายละเอียดที่ทั้งสองฝ่ายต้องมาคุยกันในส่วนรายละเอียดทั้ง 13 ข้อ ส่วนที่ไอโอทีลงพื้นที่และทหารกัมพูชามาต่อว่านั้น ไม่เป็นไร ต้องคุยกัน เราอยากให้มีกลไกมาตรวจสอบทั้งสองฝ่าย เพื่อความแสดงความโปร่งใสและจริงใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ทหารกัมพูชาออกมาแสดงลักษณะนี้ หมายถึงไม่ยอมรับการเจรจาของไทยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า คงต้องดู เพราะร่วมประชุมกับนายภูมิธรรม นายอันวาร์อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย ซึ่งเขมรต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้ามาอีก อย่างที่ตนเคยพูด ระดับนโยบายเขาแสดงความจริงใจต้องการให้มีชุดเข้ามาสังเกตการณ์ แต่ระดับพื้นที่อาจคลาดเคลื่อน ต้องพูดคุยกันรายละเอียดอีกครั้ง
ฮึ่มต้องอดทนเขมรยั่วยุถึงจุดหนึ่งว่ากัน
ถามว่า การที่ประชาชนออกมาแสดงการยั่วยุที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 ซึ่งอาจพังรั้วลวดหนามในอนาคต เตรียมรับมืออย่างไร พล.อ.ณัฐพลกล่าวย้ำว่าต้องการให้ใช้กลไกเดิมคือ อาร์บีซี ไอโอที ถ้าไอโอทีทำงานแล้วมีปัญหาเราจะใช้ทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (เอโอที) แต่วันนี้ที่นายกฯมาเลเซียโทรศัพท์มาคุย อยากให้เพิ่มคนในชุดไอโอที โดยให้เหตุผลว่าอัตราในสำนักงานปัจจุบันที่ไม่สามารถรองรับงานที่เพิ่มขึ้นมาได้ แต่ไทยยืนยันขอจำนวนเท่าเดิม และให้ใช้คนในสถานทูตไปก่อน
ส่วนแผนรับมือการใช้จิตวิทยาของเขมรนั้น พล.อ.ณัฐพล ยืนยันว่าต้องพยายามไม่ให้เกิดการยั่วยุและใช้อาวุธ เราจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะอย่างน้อยในอาเซียนกำลังเฝ้าดูกันอยู่ ผ่านการใช้กลไกไอโอที ซึ่งเราต้องไม่แสดงอาการว่าเป็นฝ่ายยั่วยุเสียเอง ต้องใช้ความอดทน แต่หากถึงจุดๆ หนึ่งก็ว่ากันอีกที
เมื่อถามถึงกรณีผู้ช่วยทูตทหารที่ลงพื้นที่กับฝ่ายไทยก่อนหน้านี้ มีการตอบรับอย่างไรบ้าง พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า เขาเชื่อถือในข้อมูลของเรา จากที่ตนสังเกตเห็นได้อื่นในการประชุมจีบีซี สื่อมวลชนจากประเทศต่างๆ มารอฟังการแถลงของเรา จากการปฏิบัติที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเรามีเครดิตที่ดีกว่า
ถามถึงกรณีมีการวิจารณ์มติสมช.ให้ฟ้องเอาผิดผู้นำกัมพูชา โดยใช้กลไกในประเทศเป็นการใช้มาตรการที่เบาไป พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า เป็นกลไกเริ่มต้นและคงจะมีอะไรเพิ่มเติมต่อไป
งบไม่พอสร้างรั้วถาวร-เน้นพร้อมรบก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุมครม.หารือเรื่องการล้อมรั้วลวดหนามหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ไม่มี จากที่ได้ตรวจสอบจากหน่วยและพูดคุยกับพล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. แนวลวดหนามที่วางไว้ไม่ใช่รั้ว เป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้ทหารกัมพูชาเข้ามาวางทุ่นระเบิด โดยเฉพาะพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 เป็นเช่นนั้น ซึ่งขณะนี้เป็นการวางแนวในส่วนที่คิดว่าเขาจะเข้ามา
ถามว่าจะสร้างเป็นรั้วถาวรได้หรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า หากตอบระดับนโยบาย งบประมาณมีอยู่เพียงเท่านี้ จะทำรั้วก่อนหรือเตรียมความพร้อมรบก่อน เราต้องจัดลำดับความเร่งด่วน หากทำไปพร้อมกันงบประมาณไม่เพียงพอแน่นอน ที่ผ่านมาของบประมาณสร้างรั้วพื้นที่ภาคใต้ แม่น้ำโกลก ซึ่งขอมานานแล้วแต่ยังไม่ได้ให้เขา แต่หากไปสร้างรั้วแนวชายแดนไทย-กัมพูชาก่อน ภาคใต้จะตั้งคำถามว่าแล้วที่เขาขอล่ะ
พล.อ.ณัฐพล ยังกล่าวว่า ในส่วนการจัดซื้อยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมนั้น ได้ประสานครม.และกระทรวงการคลังให้ใช้วิธีพิเศษเฉพาะเจาะจง ไม่เช่นนั้นไม่สามารถจัดหาได้ทัน ซึ่งกระทรวงการคลังก็ยินดี แต่จริงๆไม่อยากขออะไรมากไปกว่านี้ เพราะเป็นห่วงจะเกิดความไม่เรียบร้อย แต่พยายามทำให้เร็วที่สุด คงไม่เป็นปีแน่นอน ส่วนใหญ่เป็นของที่เราเคยจัดซื้อมาก่อนหน้านี้ เราห่วงทั้งความช้าและความถูกต้อง ในยามนี้ขวัญกำลังใจของหน่วยในพื้นที่ตนต้องเร่งรัด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเซ็นไปแล้ว 2-3 รายการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี