ระดมข้อเสนอแก้ปัญหาสารพิษปนเปื้อน'แม่น้ำกก-สายรวก-โขง'ชงรัฐบาลใหม่

ระดมข้อเสนอแก้ปัญหาสารพิษปนเปื้อน'แม่น้ำกก-สายรวก-โขง'ชงรัฐบาลใหม่

วันพุธ ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568, 16.20 น.

ระดมข้อเสนอแก้ปัญหาสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำกก-แม่น้ำสายรวก และแม่น้ำโขงชงรัฐบาลใหม่ ภาคประชาชนเชียงรายจัดงานครบ 1 ปีภัยพิบัติน้ำท่วม-โคลนถล่ม หวั่นข้าวนาปีนับแสนไร่รับผลกระทบ-จี้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพจัดวงหารือประเทศภูมิภาค

เมื่อวันที่ 10 กันยายน  2568 ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และสมาชิกเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกกสายรวกโขง เปิดเผยว่าในวันที่ 11 กันยายน เครือข่ายภาคประชาชนได้ร่วมกันจัดงานครบรอบ 1 ปีภัยพิบัติเชียงราย โดยจะมีการจัดเวทีเสวนาทั้งเรื่องทั้งเรื่องน้ำท่วมและมาตรการแจ้งเตือนของภาครัฐ    รวมทั้งเสวนาในประเด็นสารปนเปื้อนในแม่น้ำต่างๆ ที่สำคัญจะมีการระดมความคิดเห็นเพื่อทำเป็นข้อเสนอแนะส่งไปยังรัฐบาลชุดใหม่ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี


ดร.สืบสกุลกล่าวว่า สิ่งที่ตนอยากเสนอแนะต่อรัฐบาลใหม่คือ    1. หาวิธีการปิดเหมืองแร่ในประเทศเมียนมาให้เร็วที่สุดเพราะเป็นต้นเหตุของมลพิษข้ามพรมแดน 2. ห้ามนำเข้าแร่จากประเทศเมียนมาทั้งหมดจนกว่าผู้นำเข้าแร่จะพิสูจน์ได้ว่าแร่ที่นำเข้าไม่ได้มาจากแหล่งเหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุมลพิษ 3. จัดตั้งคณะทำงานร่วมระดับชาติเพื่อแก้ไขปัญหาแม่น้ำกก แม่น้ำสายรวก และแม่น้ำโขง ปนเปื้อนมลพิษจากเหมืองแร่ในประเทศเมียนมา โดยการส่วนร่วมจากภาคราชการ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม

นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงกล่าวว่า 4.รัฐบาลชุดใหม่ควรจัดทำแผนปฏิบัติการเฝ้าระวังห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรในลุ่มน้ำกกสายรวกโขง โดยเฉพาะการตรวจผลผลิตข้าวนาปีเนื้อที่ 100,000 ไร่ในลุ่มน้ำกก สาย และโขง ก่อนกรเก็บเกี่ยวในเดือนตุลาคม 5. จัดหาแหล่งน้ำดิบแห่งใหม่สำหรับผู้บริโภคน้ำประปาจำนวน 55,000 ราย ในอำเภอเมือง เวียงชัย แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ  6. จัดตั้งศูนย์การตรวจสารโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย 7. เยียวยาและชดเชยประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาแม่น้ำกกสายรวกโขงปนเปื้อนสารโลหะหนัก ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการแพร้านอาหารและชาวประมง มี่ต้องสูญเสียรายได้ 8. เป็นเจ้าภาพเจรจาแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศไทย เมียนมา และ จีน

นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชนในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษามลพิษทางน้ำข้ามแดน ในคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฏร กล่าวว่า รัฐบาลชุดใหม่ควรรีบเข้ามาแก้ปัญหาเร่งด่วนโดยแก้ที่ต้นเหตุคือการทำเหมืองในรัฐฉาน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลชุดก่อนได้หารือกับทางการพม่าอย่างเป็นทางการเพียงแค่ครั้งเดียวโดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปกรุงเนปิดอว์หารือกับรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพม่า แต่ก็ไม่ได้ความคืบหน้าอะไร มีเพียงการตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมา แต่ไม่ได้มีเนื้อหาที่ทำให้ประชาชนอุ่นใจได้เลยว่ารัฐบาลจะขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจัง

นายภัทรพงษ์กล่าวว่า ปัญหาสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง ยังสามารถแก้ไขไม่ให้บานปลายใหญ่โตได้ แต่รัฐบาลชุดเดิมไม่ทำและเดินไม่ถูกทาง เช่น การให้ สทนช.(สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ)เป็นหน่วยงานขับเคลื่อนหลัก โดยใช้กลไกของเอ็มอาร์ซี(คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) แต่ทั้งพม่าและจีนไม่ได้เป็นสมาชิกของเอ็มอาร์ซี จึงต้องเคลื่อนไปที่แอลเอ็มซี ( ความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง- Lancang-Mekong Cooperation ) แต่ในความร่วมมือนี้ไม่ได้มีเรื่องสารปนเปื้อน ดังนั้นรัฐบาลจึงไปผิดทาง สิ่งที่รัฐบาลควรใช้คือ LMEC ( Lancang-Mekong Environmental Cooperation Center หรือ ศูนย์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมแม่น้ำโขง-ล้านช้าง) โดยขับเคลื่อนผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯคนเก่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมเลย แทบไม่มีบทบาทเรื่องนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลไปผิดทาง ดังนั้นควรปรับแนวทางใหม่ เพราะ LMEC มีทั้งจีนและพม่ารวมอยู่ด้วย แล้วเราก็ต้องคุยกับลาวเพื่อให้แม่น้ำโขงไม่ส่งผลกระทบกับคนของเขา”ประธานอนุกรรมาธิการฯกล่าว

นายภัทรพงษ์กล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาในประเทศเกี่ยวกับสายน้ำปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานคือรัฐบาลต้องเข้าไปดูเกษตรกรที่ทำนาปีเร่งด่วน เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีแผนที่ที่ชัดเจนว่ามีบริเวณใดบ้างที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังไม่ได้เตรียมน้ำที่ใช้ทดแทนน้ำจากแม่น้ำที่ปนเปื้อนเลย เพราะสถานการณ์ตอนนี้น่ากังวลมาก เนื่องจากในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯซึ่งมีหน่วยงานราชการต่างๆมาชี้แจง เช่น กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมการข้าว ได้ให้ข้อมูลชัดเจนว่าข้าวนาปีที่ปลูกในลุ่มน้ำเหล่านี้ ไม่สามารถผ่านการตรวจมาตรฐานจีเอพี(Good Agricultural Practices) หรือการปฎิบัติทางการเกษตรที่ดี และไม่สามารถได้มาตรฐานออแกนิคไทยแลนด์ได้ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก

“ทำให้วันนี้เกษตรกรกลุ่มนี้ไม่ได้การรับรองมาตรฐาน นั่นหมายความว่าเมื่อผลผลิตข้าวออกมา ต่อให้ตรวจแล้วไม่มีพบสารโลหะหนักปนเปื้อนเลย สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งคือเรื่องของตลาด เพราะอาจมีการกดราคาข้าวในพื้นที่เหล่านี้ เมื่อผลผลิตข้าวออกมารัฐบาลควรรีบตรวจให้ครอบคลุมกว้างขวางที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด หากตรวจแล้วเจอสารโลหะหนักก็ต้องเตรียมมาตรการเยียวยาไว้ให้กับเกษตรกร”นายภัทรพงษ์ กล่าว

นายภัทรพงษ์กล่าวว่า นอกจากข้าวแล้ว ยังเคยมีการตรวจข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งปลูกที่ลุ่มแม่น้ำกกพบว่ามีสารตะกั่วที่เกินมาตรฐาน ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องเฝ้าระวังพื้นที่เกษตรกรรม โดยต้องเตรียมแผนรองรับเพราะหากตรวจพบสารโลหะหนักตกค้างก็ต้องมีมาตรการเยียวยาและชดเชยให้เกษตรกรเพราะเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและรัฐบาลก็ไม่ได้หาแหล่งน้ำอื่นให้กับเกษตรกร

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯผลักดันเรื่องการทำฝายดักตะกอนกั้นแม่น้ำกก นายภัทรพงษ์กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเพราะตั้งงบประมาณทำฝายดักตะกอนไว้ 4 จุดจำนวน 173 ล้านบาทเฉพาะแม่น้ำกก โดยเป็นฝายคอนกรีตซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นฝายถาวร ดังนั้นจึงควรศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอด้วยซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือต้องหาพื้นที่ในการฝังกลบหรือทำลายตะกอนพิษเหล่านี้

“ผมเห็นแผนที่เขาจะสร้างฝายสูง 2 เมตรซึ่งมันใช้ไม่ได้เลยกับแม่น้ำกกในฤดูฝน เพราะฤดูฝนน้ำเพิ่มสูงมากเกิน 4 เมตร ทำให้ตะกอนพัดผ่าน ฝายมูลค่า 173 บาทจะใช้อะไรไม่ได้เลยในหน้าฝนและยังกลายเป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำ มันไม่คุ้มค่าเลย ที่สำคัญคือเรื่องนี้ยังไม่เคยมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเลย”สส.เชียงใหม่ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์การปนเปื้อนในน้ำได้ขยายวงกว้างไปสู่แม่น้ำโขงกลายเป็นปัญหาระดับภูมิภาค คิดว่ารัฐบาลไทยควรมีบทบาทอย่างไร ประธานอนุกรรมธิการฯกล่าวว่า กลไกระหว่างประเทศต้องมีความชัดเจนกว่านี้ ตนเชื่อว่าหากประเทศไทยมีลุกขึ้นมาเป็นเจ้าภาพก็ไม่มีประเทศใดดำเนินการเพราะเป็นไปไม่ได้ที่จีนจะลุกขึ้นมาเพราะเขาได้ประโยชน์ เช่นเดียวกับพม่า ดังนั้นไทยควรเป็นเจ้าภาพหลักเพราะได้รับผลกระทบอย่างเต็มๆ และเรามีควาพร้อมมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top