ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เปิดปฏิบัติการ “9.9 FAKE COMPANY” ทลายแก๊งบริษัทผีจีนเทา หลอกลงทุนเทรดหุ้น
วันที่ 11 กันยายน 2568 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ประดิษฐ์ เปการี รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์, พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท., พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ รอง ผกก.2 บก.ปอท., พ.ต.ท.ชัยเวง พาด้วง, พ.ต.ท.ธนนชัยย์ ศรีบุญจันทร์, พ.ต.ท.จักรพงษ์ รุ่งกำจัด, พ.ต.ต.ศุภเดช ธนชัยศิริ, พ.ต.ต.วชิรเชษฐ์ อัครธีระพงศ์ สว.กก.2 บก.ปอท., ว่าที่ พ.ต.ต.ลัทธพล อัครปัญญา สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ปอท., ร.ต.อ.ปราโมทย์ รอยคราม, ร.ต.อ.จิรายุ วงศ์วิวัฒน์, ร.ต.อ,บุญชัย ถิรภัทรไพบูลย์, ว่าที่ ร.ต.อ.สหรัฐ พันธุ์เพชรนิล รอง สว.กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วยกำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท., บก.ปคบ., บก.ปคม., บก.ป., บก.ทล.
ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 15 ราย (คนไทย 14 ราย, คนจีน 1 ราย) ดังนี้
1. MR. WANG อายุ 40 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5217/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
2. น.ส.ริญญภัสร์ฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5218/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
3. นางพรปวีณ์ฯ อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5211/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
4. นายยรรยงฯ อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5224/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
5. นายศักดิ์สิทธิ์ฯ อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5214/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
6. นายธนภาคย์ฯ อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5228/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
7. นายโยธินฯ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5225/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
8. นายศาสตราวุธฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5221/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
9. น.ส.ณภาภัชฯ อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5210/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
10. น.ส.ดวงฤดีฯ อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5212/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
11. นายสมคิดฯ อายุ 72 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5213/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
12. น.ส.เด่นนภาฯ อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5219/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
13. นายธวัชชัยฯ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5207/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
14. นายกุลโรจน์ฯ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5208/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
15. นายศันต์ศรุติฯ อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5223/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่”
พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สิน ดังนี้
1. รถยนต์ รวม 9 คัน
2. กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม รวม 40 รายการ
3. เงินสดหลายสกุลมูลค่าประมาณ 300,000 บาท
4. โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวม 29 รายการ
5. สมุดบัญชีธนาคาร/บัตร ATM รวม 100 รายการ
6. ซิมการ์ด รวม 10 ซิม
7. พระเครื่อง รวม 23 องค์
รวมมูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท
พฤติการณ์ เนื่องด้วยช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ผู้เสียหายพบเห็นโฆษณาบนเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการชักชวนลงทุนเทรดหุ้น จากนั้นจึงได้กดลิงก์โฆษณาดังกล่าวแล้วพบว่าเป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้เสียหายกรอกเบอร์โทร และไอดีไลน์เพื่อร่วมลงทุน และต่อมาได้มีคนร้ายใช้ไลน์ติดต่อมาหาผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็นเลขาฯ ของอาจารย์นิติ โอสถานุเคราะห์ นักลงทุนชื่อดังในไทย ติดต่อมาเพื่อดูแลเรื่องการลงทุนของผู้เสียหาย อีกทั้งยังมีการให้ช่องทางติดต่อทางไลน์ของกลุ่มหน้าม้า ซึ่งคนร้ายอ้างว่าเป็นนักลงทุน เพื่อให้ผู้เสียหายพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องการลงทุน และคนร้ายที่อ้างว่าเป็นเลขาฯ ได้มีการให้ความรู้แก่ผู้เสียหายในเรื่องการลงทุนเรื่อยมา อีกทั้งยังเชิญผู้เสียหายเข้ากลุ่ม LINE OPENCHAT ซึ่งมีสมาชิกเป็นหน้าม้าอยู่ในกลุ่มมากกว่า 100 คน โดยเป็นกลุ่มที่พูดคุยแนะนำการลงทุนต่างๆ
ต่อมาช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 คนร้ายได้เสนอโปรเจกต์การลงทุนซื้อขายหุ้นให้กับผู้เสียหาย พร้อมทั้งได้สอนวิธีการลงทุนผ่านเว็บไซต์ FINNIXMAX โดยคนร้ายได้ชักชวนผู้เสียหายให้จองโควตาในการซื้อหุ้นไทยที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จริง แต่คนร้ายจะหลอกผู้เสียหายว่าสามารถตั้งเป้าหมายการทำกำไรอยู่ที่ประมาณ 10-20 % ภายในระยะเวลาประมาณ 2-3 วัน โดยคนร้ายจะคอยเสนอหุ้นรายตัวต่างๆ พร้อมเป้าหมายการทำกำไรให้กับผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงเริ่มโอนเงินลงทุน โดยคนร้ายได้ใช้บัญชีนิติบุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นบัญชีม้าที่ใช้ในการรับเงินจากผู้เสียหาย อีกทั้งเมื่อผู้เสียหายลองถอนเงินออกจากระบบ ยังพบว่าสามารถถอนได้จริง จึงทำให้ผู้เสียหายรู้สึกมั่นใจมากขึ้น จากนั้นผู้เสียหายจึงได้โอนเงินลงทุนเพิ่มขึ้น โดยภายหลังเมื่อหุ้นดังกล่าวทำกำไรได้ตามเป้าหมายแล้ว ผู้เสียหายไม่สามารถถอนต้นทุนและกำไรจากการลงทุนออกมาได้ โดยระบบแจ้งว่าการถอนถูกชะลอ ผู้เสียหายจึงติดต่อไปยังคนร้ายที่อ้างตัวว่าเป็นเลขาฯ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าถูกหลอกลวง จึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. จากตรวจสอบทราบว่าผู้เสียหายรายนี้ได้โอนเงินไปลงทุนจำนวน 5 ครั้ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,200,000 บาท
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. จึงได้ทำการสืบสวนขบวนการหลอกลงทุนดังกล่าว จนทราบว่ามี ผู้ร่วมขบวนการทั้งคนไทยและคนจีน มีการแบ่งหน้าที่กันทำ ใช้บัญชีม้านิติบุคคลในการรับเงินจากการหลอกลวงจากผู้เสียหาย และมีการถอนเงินสดออกจากธนาคารเพื่อนำไปส่งให้กับหัวหน้าขบวนการ ซึ่งภายหลังจากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 24 ราย ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่” โดยแบ่งเป็น กลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นกรรมการ นิติบุคคลบัญชีม้า มีหน้าที่ในการเบิกเงินสด จำนวน 6 ราย, กลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นกลุ่มฟอกเงิน มีหน้าที่ในการช่วยเหลือ ดูแล ในการเบิกเงินสด จำนวน 13 ราย, กลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นผู้จัดหาบัญชีม้านิติบุคคล และควบคุมสั่งการในการถอนเงิน จำนวน 2 ราย, ผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่เป็นล่าม และนำเงินสดไปส่งมอบให้แก่คนจีน จำนวน 1 ราย และกลุ่มผู้ต้องหาที่รับเงินสด เป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 2 ราย (จีน 1 ราย และไทย 1 ราย )
ต่อมา เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท., บก.ปคบ., บก.ปคม., บก.ป., บก.ทล. ได้เปิดปฏิบัติการ “9.9 Fake Company” ตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 13 จุด ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และเชียงใหม่ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งสิ้น 15 ราย และอายัดตัวผู้ต้องในเรือนจำ 1 ราย พร้อมตรวจยึดของกลาง โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 29 รายการ, สมุดบัญชีธนาคาร/บัตร ATM จำนวน 100 รายการ และซิมการ์ด จำนวน 10 อัน และทรัพย์สินมีค่าต่างๆ ประกอบด้วย รถยนต์ จำนวน 9 คัน, กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม จำนวน 40 รายการ, เงินสดหลายสกุลมูลค่าประมาณ 300,000 บาท และพระเครื่อง จำนวน 23 องค์ รวมมูลค่าสิ่งของที่ตรวจยึดประมาณ 21 ล้านบาท
จากการสืบสวนและซักถามขยายผลพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่อย่างเป็นระบบ กลุ่มผู้บงการชาวจีนเป็นผู้สั่งการและกำหนดแนวทาง โดยจะมีคนไทยเป็นผู้ประสานงาน ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา จัดหาบัญชีม้านิติบุคคลให้แก่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมื่อเงินของผู้เสียหายถูกโอนเข้าสู่บัญชีม้านิติบุคคล กลุ่มผู้ต้องหาจะมีการนัดหมายเบิกถอนเงินสดตามธนาคารสาขาต่างๆ โดยมีผู้รับผิดชอบประสานงานกับธนาคาร เพื่อให้สามารถถอนเงินได้ครั้งละหลายล้านบาท ขณะเดียวกันจะมีกลุ่มที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและควบคุมความเรียบร้อยระหว่างการถอนเงิน ทำหน้าที่ป้องกันการโกงหรือการหนีหายของกรรมการบริษัทบัญชีม้า ซึ่งภายหลังเมื่อมีการถอนเงินตามธนาคารสาขาต่างๆ แล้ว กลุ่มผู้ต้องหาจะรวบรวมเงินสดนำส่งต่อให้แก่ผู้บงการชาวจีนที่เป็นสมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สำหรับเหตุผลที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เลือกใช้บัญชีนิติบุคคลม้าในการรับเงินจากผู้เสียหาย เนื่องจากต้องการทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในการหลอกลงทุน และบัญชีนิติบุคคลจะไม่ค่อยถูกอายัด อีกทั้งเมื่อมีการทำธุรกรรมในยอดเงินจำนวนมาก จะไม่ค่อยถูกตรวจสอบจากสถานบันทางการเงินต่างๆ
ทั้งนี้จากการตรวจสอบในระบบแจ้งความออนไลน์ พบว่ามีคดีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้จำนวนทั้งสิ้น 265 คดี รวมมูลค่าความเสียหายว่า 654 ล้านบาท ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลงทุนเทรดหุ้นผ่าน แพลตฟอร์ม FINNIXMAX และ CGS International อีกทั้งยังมีการแอบอ้างบุคคลผู้ที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนต่างๆ เช่น คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ และ นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี เป็นต้น
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น MR. WANG สัญชาติจีน และ น.ส.ริญญภัสร์ฯ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่สั่งการและรับเงินสด ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ยอมรับในข้อเท็จจริงว่า ได้เดินทางไปรับเงินสดจริง แต่ไปรับตามคำสั่งของคนจีนอีกคนหนึ่ง นางพรปวีณ์ฯ, นายยรรยงฯ, นายธนภาคย์ฯ, นายโยธินฯ และ นายศาสตราวุธ ให้การปฏิเสธตลอด ข้อกล่าวหาว่า แต่ยอมรับในข้อเท็จจริงว่า ได้ร่วมกับนายศักดิ์สิทธิ์ฯ ทำการเบิกถอนเงินสดและนำไปส่งให้แก่คนจีน (MR. WANG) ซึ่งในการทำงานแต่ละครั้งจะมีการตั้งกลุ่ม Telegram ขึ้นมาเพื่อติดต่อสื่อสารกัน และจะลบกลุ่มทิ้งทันทีหลังจากงานเสร็จสิ้น โดยนายศักดิ์สิทธิ์ฯ มีหน้าที่ในการจัดหาบัญชีนิติบุคคลม้า และ นางพรปวีณ์ฯ ทำหน้าที่เป็นล่ามในการติดต่อสื่อสารกับคนจีน ซึ่งเมื่อนายศักดิ์สิทธิ์ฯ จัดหาบัญชีนิติบุคคลม้าได้แล้ว จะจัดส่งเลขที่บัญชีให้แก่คนจีน จากนั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะนำบัญชีนิติบุคคลม้าดังกล่าวไปหลอกลวงผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาแล้ว นายธนภาคย์ฯ จะทำหน้าที่ประสานธนาคารสาขาต่างๆ เพื่อเตรียมเงินสดไว้สำหรับการเบิกถอนจำนวนมาก จากนั้นนายศักดิ์สิทธิ์ฯ และ นางพรปวีณ์ฯ จะพากลุ่มบุคคลที่เป็นกรรมการนิติบุคลบัญชีม้าไปที่ธนาคารสาขาที่ได้ประสานงานไว้แล้ว เพื่อทำการเบิกถอนเงินสด โดยมี นายยรรยงฯ, นายโยธินฯ และนายศาสตราวุธ ดูแลความปลอดภัยและควบคุมความเรียบร้อยระหว่างการถอนเงิน จากนั้น นางพรปวีณ์ฯ จะเอาเงินสดที่เบิกถอนมา นำส่งให้แก่คนจีน (MR. WANG) โดย นางพรปวีณ์ฯ ได้รับค่าจ้างครั้งละประมาณ 10,000 บาท ส่วนนายยรรยงฯ, นายโยธินฯ และ นายศาสตราวุธฯ ได้รับค่าจ้างครั้งละประมาณ 1,000 บาท
น.ส.ณภาภัชฯ, นายสมคิดฯ, น.ส.เด่นนภาฯ, นายธวัชชัยฯ, นายกุลโรจน์ฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่เป็นกรรมการนิติบุคคลบัญชีม้า ให้การว่า ได้รับการว่าจ้างให้ใช้บัญชีนิติบุคคลเพื่อรับเงินที่ได้จากการเทรด และการพนันออนไลน์ โดยจะมีการนัดหมายกับกลุ่มผู้ต้องหาเพื่อเบิกถอนเงินสดและส่งมอบให้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี