เรื่องราวเกี่ยวกับความศรัทธาความเชื่อในการทำบุญเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงอย่างมากในเวลานี้ เหตุเพราะเกิดกรณีวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ที่เดินสายรับบริจาคของอดีตพระอลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ ซึ่งอ้างถึงการนำเงินไปช่วยเหลือดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่วัดได้รับตัวมารักษา แต่เงินบริจาคที่ได้รับมากลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ดังกล่าว
นอกจากตัวอดีตพระอลงกตแล้ว ยังรวมไปถึงคนใกล้ชิด และผู้ที่เข้ามาเกี่ยวพัน อย่างเช่น นายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือหมอบี ทูตสื่อวิญญาณ ที่มีการเปิดรับบริจาคโดยอ้างวัดพระบาทน้ำพุ และการช่วยเหลือผู้ป่วย HIV จนมีผู้มีจิตศรัทธา หลั่งไหลกันบริจาคให้กับวัดจนมียอดเงินจำนวนมากมาย
แต่แล้วเงินบริจาค ก็ถูกนำไปใช้ซื้อที่ดิน และถ่ายโอนไปยังบัญชีธนาคารต่างๆ จนที่สุดจึงเกิดการร้องเรียนให้ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลของเงินบริจาคที่วัดได้รับผ่านทางอดีตพระอลงกต ว่าไม่ได้ถูกใช้ไปในการดูแลรักษาผู้ป่วย HIV รวมทั้งเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จนนำไปสู่การตรวจสอบครั้งใหญ่ของหน่วยงานอย่างกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) หรือ CIB และดำเนินคดีอดีตพระอลงกตและหมอบี ก่อนจะมีการตรวจค้นและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ
กรณีการตรวจสอบเรื่องวัดและพระสงฆ์ จริงแล้วมีหน่วยงานอย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กำกับดูแล เป็นอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย อยู่แล้ว แต่กลายกลับเป็นว่า พศ.กลับไม่ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นมากเพียงพอจนเรื่องแดง ออกมา และเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องเข้าไปสะสาง
แน่นอนว่าในส่วนของอดีตพระอลงกต ต้องถูกดำเนินคดีในฐานะเจ้าพนักงานรัฐ ในขณะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด ส่วนหมอบี ก็ตกอยู่ในสถานะผู้ต้องหาฐานให้การสนับสนุนเจ้าพนักงานในการกระทำผิด ต่อมาจึงมีการตรวจค้นเป้าหมายกว่า 17 จุด เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานในการดำเนินคดีเอาผิด และดูท่าว่าจะบานปลายกลายเป็นว่ายังมีผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าข่ายร่วมกระทำผิดเพิ่มเติมอีกหลายราย
ทั้งนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมคณะทำงานของกองบังคับการปราบปราม ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ปปท.และ ปปง.เร่งรัดขยายผลทางคดี ตรวจสอบเส้นทางการเงิน รวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดที่เชื่อว่าถูกถือครองโดยผู้ใกล้ชิดกับอดีตพระอลงกต และถูกผ่องถ่ายไปในรูปแบบของทรัพย์สินต่างๆ จนมีการเปิดเผยว่ายอดรวมสูงถึงหลักหมื่นล้านบาท หรือกว่านั้น เพราะกระทำกันมานาน รับบริจาคจากทั่วประเทศ เป็นเวลากว่า 20 ปี
กรณีที่เกิดขึ้น นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล พศ.ถึงกับเต้นผาง สั่งลงดาบและงัดมาตรการเพื่อป้องกันปัญหาการยักย้ายถ่ายโอน หรือปิดช่องโหว่ในการนำเงินบริจาควัดไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยมีการใช้ระบบ E-Donation ให้พุทธศาสนิกชน และผู้มีจิตศรัทธา บริจาคผ่านระบบอีเล็กทรอนิกส์ เข้าบัญชีวัด ไม่ผ่านการบริจาคในตู้รับบริจาคของวัดทุกแห่งทั่วประเทศ
การใช้ระบบ E‑Donation (ระบบบริจาคอีเล็กทรอนิกส์) มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความโปร่งใส และลดปัญหาการยักยอกเงินบริจาคของวัดทั่วประเทศ ซึ่งสามารถพิจารณาได้ดังนี้
1.จุดเด่นของ E‑Donation คือลดการใช้ใบอนุโมทนาบัตรปลอม ก่อนหน้านั้นพบปัญหาบ่อย คือมีการขอใบลดหย่อนภาษีเท็จ เช่น บริจาคเพียง 100 บาท แต่ขอให้ระบุว่า 10,000 บาท เพื่อหักลดหย่อนภาษี ซึ่งตรวจสอบยาก
ทั้งนี้ E‑Donation จะบันทึกข้อมูลการบริจาคทันที ระบบจะส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากรโดยตรง เพิ่มความน่าเชื่อถือและความรัดกุม
มีมาตรการบังคับอย่างชัดเจน กรมสรรพากรได้ส่งหนังสือถึง พศ.กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป การบริจาคเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ต้องผ่านระบบ E‑Donation เท่านั้น
2.ข้อจำกัดและสิ่งที่ E‑Donation ยังจัดการไม่ได้ คือเงินสดจากตู้บริจาคและกิจกรรมพุทธพิธี
ยังคงมีช่องว่างสำคัญที่ไม่ถูกควบคุม เช่น ตู้บริจาค งานกฐิน ผ้าป่า หรือกิจกรรมประเพณีต่างๆ ที่ใช้เงินสด ซึ่งมักตรวจสอบยากว่าเงินนำเข้าบัญชี หรือตรวจสอบว่าเงินถูกนำไปใช้อย่างไร
ปัญหาการทุจริตระดับโครงสร้าง เช่น กรณีเงินทอนวัด หรือคดีอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ยักยอกเงินวัด ทุจริตเงินวัด 300 ล้านบาท สะท้อนว่าการทุจริตเกิดจากช่องโหว่ในระบบบัญชีและการกำกับดูแลภายใน
ดังนั้นเทคโนโลยียังต้องคู่กับการปฏิรูปโครงสร้างและกฎหมาย ซึ่งทาง TDRI แนะนำว่าแม้ E‑Donation เป็นเครื่องมือสำคัญ แต่ยังต้องเสริมด้วยการเปิดเผยบัญชีต่อสาธารณะ วัดควรเผยข้อมูลรายรับ‑รายจ่าย บนเว็บไซต์หรือพื้นที่สาธารณะ เสริมบทลงโทษตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ให้การส่งบัญชีไม่ใช่เรื่องสมัครใจ มีการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอก เช่น ตัวแทนจากชุมชน หรือธนาคาร เป็นพยานตอนนับเงินจากตู้บริจาค ให้ พศ.ใช้บทบาทเชิงรุก เช่น กำหนดเงื่อนไขโปร่งใสในการพิจารณาเงินอุดหนุน
3.แนวทางที่ภาครัฐควรดำเนินการต่อไปในมุมมองของนักวิชาการ อย่างเช่น รศ.ณดา จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ได้แนะนำมาตรการเพิ่มเติม เช่น จัดตั้งคณะอนุกรรมการบริหารศาสนสมบัติ ในนามมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อวางแนวทางบริหารทรัพย์สินวัด ปรับปรุงโครงสร้างของ พศ.ให้เข้มแข็งขึ้น เช่น มีหน่วยงานเฉพาะดูแลทรัพย์สินวัด นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น ระบบบัญชีออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มของภาครัฐ-ภาคเอกชน ที่สามารถบันทึกรายรับ‑รายจ่ายจริง แบบเรียลไทม์ และเปิดให้ชุมชนตรวจสอบได้ จึงน่าจะเป็นคำตอบในการแก้ปัญหานี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี