'นพดล กรรณิกา'เสนอ 5 มาตรการยุติภัยบัญชีม้า

'นพดล กรรณิกา'เสนอ 5 มาตรการยุติภัยบัญชีม้า

วันพุธ ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568, 20.56 น.

'นพดล กรรณิกา'เสนอ 5 มาตรการยุติภัยบัญชีม้า คืนความยุติธรรมแก่สุจริตชน สร้างความเชื่อมั่นระบบการเงิน 

เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2568 ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ วอชิงตัน ดีซีด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่ปรึกษาโครงการ Stronger Together สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยผลการศึกษา ยุติภัยบัญชีม้า ที่ค้นพบในโครงการศึกษาวิจัยมาตรการความร่วมมือเพื่อปกป้องผู้สุจริต ยุติภัยบัญชีม้า และสร้างเกราะป้องกันภัยให้ประชาชนจากขบวนการมิจฉาชีพออนไลน์ โดยประเด็นสำคัญที่ค้นพบพอสรุปได้ดังนี้


ข้อเท็จจริง (Facts)

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อาชญากรรมทางการเงินดิจิทัล ได้ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อทั้ง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และ ความเชื่อมั่นของประชาชนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแก๊งคอลเซนเตอร์และเครือข่ายมิจฉาชีพออนไลน์ ที่ฉวยโอกาสจากช่องโหว่ของระบบการเงินและเทคโนโลยีการสื่อสารในการหลอกลวงประชาชน ส่งผลให้เกิดความเสียหายมูลค่าหลายร้อยล้านบาทต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ในกลางปี 2567 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เมื่อมีการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในระดับทวิภาคี ระหว่าง คณะทำงานด้านการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดย พล.ต.อ. ดร.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยผมมีโอกาสเข้าร่วมประชุมในฐานะที่ปรึกษาและผู้แทนภาคประชาชน

ข้อมูลสถิติยืนยันชัดเจนว่า ในช่วง มีนาคม 2565 – มีนาคม 2567 (762 วัน) ความเสียหายรวมมีมูลค่า 65,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 85.3 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง เมษายน 2567 – สิงหาคม 2568 (518 วัน) ความเสียหายลดลงเหลือ 33,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 63.5 ล้านบาท (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, 2568) แสดงให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวสามารถทำให้ขบวนการมิจฉาชีพออนไลน์และแก๊งคอลเซนเตอร์สูญเสียรายได้มากกว่า 8,000 ล้านบาทต่อปี

การวิเคราะห์บริบทสถานการณ์ (Contextual Analysis)  วิเคราะห์จุดอ่อนสำคัญ พบว่า

1.การทำงานแยกส่วนแต่ละส่วนหลากหลายมาตรฐาน ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ธนาคารต่าง ๆ ป.ป.ง. ธปท. ตำรวจ กรมสรรพากร ฯลฯ)

2.การสื่อสารไม่เพียงพอ ทำให้ประชาชนไม่รับรู้ความก้าวหน้า และเกิดความรู้สึก “รัฐทอดทิ้ง” ทั้ง ๆ ที่ วันนี้ทุกภาคส่วนกำลังเดินมาถูกทางแล้ว มาตรการต่าง ๆ ทำให้ขบวนการมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซนเตอร์สูญเสียรายได้หลายพันล้านบาท และประชาชนตื่นรู้ตื่นตัวตระหนักมากยิ่งขึ้น

3.มาตรการคุ้มครองผู้สุจริตยังไม่ชัดเจน จึงทำให้ผู้เสียภาษีและผู้ประกอบการผู้สุจริตสูญเสียแรงจูงใจในการทำดี และตกเป็นเหยื่อขบวนการมิจฉาชีพออนไลน์

ข้อเสนอมาตรการเชิงรุก

หากรัฐบาลที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เดินหน้าแนวทางเชิงรุกอย่างจริงจัง ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะ “ยุติภัยบัญชีม้า” ได้ภายใน 4 เดือน โดยอาศัยมาตรการสำคัญดังนี้

1.ศูนย์ตรวจสอบธุรกรรมเร่งด่วน (Fast Track Clearing Center) ศูนย์นี้จะทำหน้าที่กลั่นกรองและเร่งรัดการตรวจสอบธุรกรรมที่ถูกอายัด โดยหากผู้สุจริตมีหลักฐานครบถ้วน จะสามารถปลดอายัดได้ทันทีภายใน 4 ชั่วโมง และกรณีทั่วไปไม่เกิน 48 ชั่วโมง ลดผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและธุรกิจของประชาชนผู้สุจริต

รัฐบาลใหม่โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี อาจจะพิจารณานั่งหัวโต๊ะจัดตั้งคณะทำงานบูรณาการภายใน 30 วัน โดยมี DES เป็นศูนย์กลาง ประสานทุกหน่วยงานผ่านระบบ Application Programming Interface (API) พร้อมกับกรอบแนวคิดความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เป็นสากลเช่น NIST หรือ ISO/IEC 27001

2.กรอบแนวคิดธงแดง/ธงเขียว Red Flag/Green Flag Framework ใช้ระบบคัดกรองความเสี่ยงด้วยสัญญาณ “ธงแดง” สำหรับธุรกรรมที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การโอนเงินหลายทอดหรือบัญชีที่เพิ่งเปิดใหม่ และ “ธงเขียว” สำหรับผู้ที่มีประวัติการเสียภาษีต่อเนื่องหรือได้รับการยืนยันจากหน่วยงานรัฐว่าบริสุทธิ์ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและลดความผิดพลาด

3.การใช้ Financial Integrity Score (FIS) จัดทำคะแนนความน่าเชื่อถือทางการเงินเพื่อมอบสิทธิพิเศษแก่ผู้ที่มีประวัติการเงินโปร่งใส เช่น ได้รับความคุ้มครองมากขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะถูกอายัดโดยไม่เป็นธรรม

4.การทำ AI Fraud Detection และ Blacklist กลางระดับชาติ โดยลงทุนพัฒนาระบบ AI และฐานข้อมูลกลาง เพื่อเฝ้าระวังธุรกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์ พร้อมจัดทำบัญชีดำที่ครอบคลุมทั้ง “บัญชีม้า–เบอร์โทรศัพท์–แอปพลิเคชันหลอกลวง” ให้ทุกธนาคารและผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถเข้าถึงได้อย่างบูรณาการ

5.การสื่อสารเชิงรุก โปร่งใส และต่อเนื่อง รายงานสัปดาห์ต่อสัปดาห์ต่อสาธารณะ เช่น จำนวนบัญชีที่ได้รับการปลดอายัด มูลค่าความเสียหายที่ลดลง และผลลัพธ์ของมาตรการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนว่ารัฐกำลังแก้ปัญหาอย่างจริงจังและเห็นผลได้ทันตา ปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เพื่อเปิดทางการแชร์ข้อมูลระหว่างหน่วยงานในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรม

บทสรุป

มาตรการนี้ไม่ใช่เพียงการปราบปรามมิจฉาชีพ แต่เป็นการคืนความยุติธรรมแก่ผู้สุจริตและสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินไทย ให้ประชาชนทุกคนมั่นใจว่า เงินในบัญชีจะไม่ถูกทำให้กลายเป็น “บัญชีม้า” โดยไม่เป็นธรรม แต่ภายในระยะเวลา 4 เดือนนี้ ด้วยความร่วมมือบูรณาการแท้จริงของ รัฐบาล นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ป.ป.ง. และ ธนาคารพาณิชย์ ประเทศไทยจะมีเกราะป้องกันทางการเงินดิจิทัลที่เข้มแข็งที่สุดในภูมิภาค มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนกลับคืนมาได้เป็นมรรคเป็นผล

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top