รุมจี้รัฐบาลใหม่ ตั้งกก.ระดับชาติแก้ปัญหาสารพิษแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง

รุมจี้รัฐบาลใหม่ ตั้งกก.ระดับชาติแก้ปัญหาสารพิษแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง

วันศุกร์ ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568, 18.48 น.

จี้รัฐบาลใหม่ตั้ง กก.ระดับชาติแก้ปัญหาสารพิษแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง แนะบรรจุไว้ในนโยบาย นักวิจัยคะฉิ่นเผยประเทศมหาอำนาจทั้งสหรัฐ-อียู-ญี่ปุ่น-อินเดียรุมตอมแรร์เอิร์ทหวังแย่งส่วนแบ่งจีน

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กทม.คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ศูนย์แม่โขงศึกษาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง ร่วมกันจัดสัมมนาเรื่องกรอบกฏหมายและกลไกระหว่างประเทศจัดการมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่าและลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน


ในช่วงต้นนายอนรรฆ พิทักษ์ธานิน ผู้อำนวยการศูนย์แม่โขงศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน เป็นประเด็นที่มีความสำคัญแต่ไม่ค่อยได้ยินเสียงจากพื้นที่ส่วนกลาง คนในพื้นที่แม้มีความตระหนักแต่ยังพูดถึงไม่มากนัก ทั้งในแง่การเมืองระหว่างประเทศและภาควิชาการ

“ประเด็นมลพิษข้ามพรมแดนเหมือนมีเจ้าภาพมาก แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยไม่มีอำนาจในการจัดการ  ไม่นับรวมความซับซ้อนทางการเมืองของเมียนมา  หวังว่าเวทีแลกเปลี่ยนวันนี้จะได้ทิศทางในการทำงานร่วมกัน และเป็นบทเรียนในอนาคตที่นำไปสู่การจัดการพื้นที่อื่น ๆ”นายพนรรฆ กล่าว

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ในฐานะรอง กมธ.กล่าวว่า  ระหว่างวันที่ 29-30 กันยายน จะมีการแถลงนโยบายของรัฐบาล ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการบริหารจัดการมลพิษข้ามพรมแดน เป็นสิ่งหนึ่งที่เราอยากเห็นว่าหากไม่มีนโยบายจัดการเรื่องนี้ กลายเป็นว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับมลพิษข้ามพรมแดน เราอยากเห็นรัฐบาลทุกชุดป้องกันและปราบปรามมลพิษข้ามแดนที่เข้ามากระทบกับไทย

”แม้มีการพูดคุยในระดับพื้นที่ แต่ไม่สามารถยกให้เป็นเรื่องวาระแห่งชาติและกรอบเวทีระหว่างประเทศได้ และไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล“ นายกัณวีร์ กล่าว และว่าตนจะนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากเวทีนี้เสนอไปยังรัฐบาลชุดใหม่ของไทยในการแถลงนโยบายที่จะถึงนี้ด้วย

นาย Zung Ting นักวิจัยจากเครือข่ายสิ่งแวดล้อมคะฉิ่นกล่าวว่า ปี2008 และ 2009  ตนเริ่มได้ยินข่าวการทำเหมืองแร่ชายแดนจีนบริเวณพื้นที่ของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธโดยเป็นความร่วมมือระหว่างกลุ่มติดอาวุธกับบริษัทของจีน แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นแร่แรร์เอิร์ธคืออะไร  จึงเริ่มสนใจและรู้จักแรร์เอิร์ธ ซึ่งต่อมาเมื่อมีการหยุดจริงและกองกำลังติดอาวุธเปลี่ยนเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดนหรือ BGF ได้ร่วมมือกับรัฐบาลพม่าทำเมืองแร่แรร์เอิร์ทอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีแรงขับเคลื่อนระดับโลกทำให้เกิดอุปสงค์ต่อการใช้แรร์เอิร์ทและเรื่องของภูมิศาสตร์และการค้าระดับโลกกลายเป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้เกิดความต้องการการใช้แรร์เอิร์ท ขณะที่จีนควบคุมแร่ชนิดนี้ 80%

นักวิจัยชาวคะฉิ่น กล่าวว่า แรร์เอิร์ทกลายเป็นทรัพยากรที่สำคัญระดับโลกและมหาอำนาจการยอมรับความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นสหรัฐฯ อียูและญี่ปุ่นจึงต้องการสะสมคลังแรร์เอิร์ทเพราะที่ผ่านมาต้องพึ่งพาจีนเป็นหลักซึ่งจริงแล้วจีนก็ได้มาจากรัฐคะฉิ่น มหาอำนาจเหล่านี้จึงพยายามพูดถึงเรื่องห่วงโซ่แรร์เอิร์ท

อย่างไรก็ตาม ต่อมารัฐบาลจีนได้ขยายกิจการโดยไม่ได้ขุดภายในประเทศตัวเองเพราะเห็นถึงผลกระทบอันเลวร้ายจึงเปลี่ยนมาเป็นการแปรรูปแทนโดยไม่อนุญาตให้ทำเหมืองแรร์เอิร์ทในประเทศตัวเอง แต่ไปทำในประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะภายหลังเกิดการรัฐประหารในพม่าก็ไม่มีการควบคุมใดๆ

“ในรัฐคะฉิ่นได้มีการทำเมืองแรร์เอิร์ทเพิ่มขึ้นมหาศาล ขณะนี้มีบ่อเก็บสารเคมีถึง 5,000 บ่อ มีเหมืองแรร์เอิร์ท 400 แห่ง เพิ่มขึ้นกว่า 40% นอกจากนี้ยังมีบ่อเล็กๆอีกมากมาย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งมีความสำคัญต่อชุมชนท้องถิ่น”นาย Zung Ting

นาย Zung Ting กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ นักการทูตอเมริกาจากย่างกุ้งได้เข้าไปสำรวจแรร์เอิร์ทที่คะฉิ่น โดยได้พบกับกลุ่มของพวกตน ขณะที่อียูและญี่ปุ่นก็ให้ความสำคัญการทำเมืองแรร์เอิร์ทในคะฉิ่นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เมื่อเร็วๆนี้อินเดียก็ได้ให้ความสำคัญในการเข้ามาสำรวจรวมถึงแสดงความต้องการซื้อร์ร์เอิร์ทจาก กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าพยายามต่อต้านการที่อินเดียจะร่วมมือกับ KIA ขณะที่สหรัฐฯและบังคลาเทศได้ซ้อมรบในบริเวณใกล้ๆคะฉิ่น ทำให้ความขัดแย้งยิ่งเพิ่มขึ้น

“จีนพยายามเล่นเกมทางการเมืองโดยสร้างความสัมพันธ์กับ KIA แต่พยายามควบคุมไม่ให้ KIAมีความเข้มแข็งมากเกินไป ขณะนี้แรร์เอิร์ทไม่ใช่ประเด็นของคะฉิ่นอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องระดับโลก”นักวิจัยชาวคะฉิ่น กล่าว และว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ทต้องเจาะเข้าไปในภูเขาและฉีดสารเคมีที่เป็นพิษเข้าไปเพื่อดูดเอาแรร์เอิร์ทออกมา สารพิษเหล่านี้ทำให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและในห่วงโซ่อาหารของเราสร้างผลกระทบไปทั่วภูมิภาคและการทำเมืองได้ทำลายป่าและแม่น้ำลำธารต่างๆซึ่งต้องประสบมลพิษกลายเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ

“ที่คะฉิ่นมีภูเขาถล่มเพราะถูกเจาะแล้วใส่กรดลงไป ทำให้เกิดน้ำท่วมทุกปี เมื่อก่อนอาจจะมีน้ำท่วม 8 ปี 10 ปีครั้ง แต่เดี๋ยวนี้น้ำท่วมทุกปี ขนาดบ้านทั้งหลังหรืออาคารโรงพยาบาลไหลลงแม่น้ำ ภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล่านี้กำลังเลวร้ายขึ้นทุกทีและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”นาย Zung Ting กล่าว

นักวิจัยชาวคะฉิ่น กล่าวว่า นอกจากแรร์เอิร์ทแล้ว ในคะฉิ่นยังหยกและแร่อำพันต่างๆแม้เราจะมีกฎหมายทั่วๆไปเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่แต่ไม่มีกฎหมายควบคุมเฉพาะ ในช่วงรัฐบาลอองซานซูจีเคยมีนโยบายเรื่องนี้ แต่เมื่อเกิดรัฐประหาร กฎหมายก็ไม่มีผล

“ขอให้ทุกคนร่วมกันเรียกร้องความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงร่วมกับพวกเราชาวคะฉิ่นในการต่อต้านการทำเมืองแร่ที่เป็นพิษและต้องทำให้เกิดความรับผิดชอบ ผมเองยังอยากกลับไปทำงานที่คะฉิ่นแต่ไม่ปลอดภัยจึงต้องหนีมาอยู่ที่เมืองไทย ผมจึงต้องการความช่วยเหลือจากพวกท่าน และประชาคมโลก”นาย Zung Ting กล่าว

น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ มูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers)และเลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา กล่าวว่า ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมหลายแหล่ง เช่น มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ หรือดาวเทียมของรัฐ ระบุว่ามีเหมืองแร่ในพื้นที่รัฐฉาน โดยชายแดนไทย-เมียนมา ห่างไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร และยังมีเหมืองแร่แรร์เอิร์ทบนภูเขา ไม่ใช่แค่แห่งเดียว เราได้ข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ  ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าต้นน้ำกก แม่น้ำสาย มีการเปิดหน้าดิน ไม่น่าจะมีการป้องกันใดๆ ข้อมูลจาก  Stimson Center พบด้วยว่าเมื่อปี 2020 แม่น้ำกก สาย มีการทำเหมืองแร่ 1-2 แห่ง แต่หลังการรัฐประหาร มีการทำเหมืองแร่มากขึ้นเรื่อยๆ

น.ส.เพียรพร กล่าวว่า ที่ผ่านมา ภาครัฐอย่างที่จังหวัดเชียงราย มีประกาศห้ามการใช้น้ำในแม่น้ำกก ตั้งแต่พบสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานตั้งแต่ครั้งแรก  และหน่วยงานความมั่นคงรับรู้ว่ามีปัญหามาจากการสร้างเหมืองติดชายแดนไทยในเมียนมา มีการทำเหมืองแร่ในล้ำน้ำกว่า 10 แห่ง และ 2-3 แห่ง อยู่ติดชายแดนไทย เช่น ใกล้ดอยแม่สลอง ที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ไม่ถึง 1 กม. และภาคประชาชนจังหวัดเชียงรายก็ตื่นตัว ได้ยื่นหนังสือเรียกร้องต่อรัฐบาลตั้งแต่สมัยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใด

"ภาพบ่อเหมืองในรัฐคะฉิ่น ดิฉันมองว่าเป็นเหมือนบ่อแห่งความตาย ภาพที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน ที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่้น้ำโขง ซึ่งในเมียนมาไม่มีกฏหมายควบคุมเหมืองแร่แรร์เอิร์ท ไม่มีการควบคุมโดยเฉพาะในกองกำลังว้า ยิ่งทำให้การแก้ปัญหานี้ยากขึ้น"น.ส.เพียรพร กล่าว

น.ส.เพียรพร กล่าวว่า อีกสถานการณ์ที่เป็นห่วงหากมีการสร้างเขื่อนปากแบง กั้นแม่น้ำโขง ชาวเชียงราย จะได้รับผลกระทบด้วย โดยสร้างใน สปป.ลาว มีแต่การซื้อขายไฟฟ้าให้ไทย และเริ่มก่อสร้างในเดือน ต.ค. นี้ หากมีการตกตะกอนของสารปนเปื้อน ประชาชนที่ใช้น้ำใน จ.เชียงราย เชียงของ เวียงแก่น ที่ใช้น้ำประปา ที่สูบโดยตรงจากแม่น้ำโขง จะกระทบมากแค่ไหน จึงต้องเรียกร้องไปยังรัฐบาลไทยให้ชะลอการซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนปากแบง ชะลอการก่อสร้าง และขอให้คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงศึกษาผลกระทบด้วย เป็นสิ่งที่รีบดำเนินการในทันที"

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การทำเหมืองแรร์เอิร์ทในรัฐคะฉิ่น ทำให้เห็นว่า แรร์เอิร์ท กลายเป็นปัญหาระดับโลก เพราะแร่ชนิดนี้สร้างผลกระทบอย่างมหาศาล และจากข้อมูลที่พบว่า เมียนมากำลังเป็นผู้ผลิตอันดับ 3 ของโลก ในขณะเดียวกันพบว่าไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้ได้รับผลกระทบ แต่เป็นผู้ได้ประโยชน์ด้วย จากการนำเข้าแร่มาในประเทศไทย

"ไทยได้รับผลกระทบกระจายวงกว้างจากการพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ไปยังหลายสาขาอาชีพ จนเกินควบคุม และควบคุมไม่ได้ รวมถึงไม่มีใครรับผิดชอบ ไร้เจ้าภาพ ไม่เพียงแต่มลพิษข้ามพรมแดน แต่ในไทยเองยังเจอปัญหาวัฒนธรรมของรัฐไทย ที่ทำให้ประชาชนสับสนกับข้อเท็จจริงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น"ดร.สืบสกุล กล่าว

และว่าที่ผ่านมา เกิดปัญหาจากวาทกรรมภาครัฐ ที่ทำให้ประชาชนสับสน เช่นการเตือนห้ามใช้น้ำ แต่บอกว่า ค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน เป็นปัญหาใหญ่ของหน่วยงานรัฐที่ไม่พูดข้อมูลตรง เพราะแม้บางจุดค่าสารปนเปื้อนไม่เกินมาตรฐาน แต่การรับสารปนเปื้อนที่สะสมในร่างกายจะส่งผลกระทบอะไร รวมถึงผลที่เกิดจากพืชผลการเกษตร ที่บางชนิด ไม่สามารถขายกับบริษัทนอกพื้นที่ได้เพราะไม่เชื่อมั่นจากปัญหาสารปนเปื้อน

ดร.สืบสกุล กล่าวว่า เครือข่ายภาคประชาชนมีข้อ 10 ข้อไปยังรัฐบาลใหม่ คือ 1.ตรวจคุณภาพดิน 12,000 ไร่ ริมแม่น้ำกกในอ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ก่อนเกษตรกรจะเริ่มปลูกใหม่ในเดือนตุลาคมนี้ 2.ตรวจข้าวนาปีกว่า 1 แสนไร่ใน จ.เชียงรายก่อนเก็บเกี่ยว ว่ามีสารปนเปื้อนหรือไม่ 3.หาแหล่งน้ำดิบแห่งใหม่ในการทำน้ำประปาแทนแม่น้ำกก สาย รวก 4.ปรับปรุงประปาหมู่บ้านให้ตรวจสารโลหะหนักได้ 5.หาแหล่งน้ำใหม่ ใช้ชาวบ้าน ต.ท่าตอน ต.แม่นาวาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ที่ซื้อน้ำกินเพระาสารปนเปื้อน 6.ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนักในพื้นที่ 7.รัฐบาลต้องตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน เพื่อหาทาง ปิดเหมือง และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 8.ยกเลิกการสร้างฝายตักตะกอนดิน 9.เปิดเจรจาเมียนมาและจีนอย่างเร่งด่วน10.ยุติการนำเข้าแร่จากพม่าจนกว่าจะตรวจสอบได้ว่ามาจากแหล่งผลิตที่ไม่สร้างมลพิษ

ด้าน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ นักวิจัยอิสระและผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภายโดยชุมชน (CHIA Platform) กล่าวว่า ประเด็นเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในเมียนมามีความซับซ้อน เพราะเป็นเหมืองที่ไม่ได้ขออนุญาตจากรัฐบาลเมียนมา สิ่งที่เรากำลังเจอคือ ความมั่นคงทางสุขภาพ เริ่มกระทบต่อห่วงโซ่อาหารและกระทบกับสุขภาพประชาชนเป็นพิษสะสม  แม้สารโลหะหนักไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่หากสัมผัสทุกวันก็จะเกิดความเจ็บป่วยขึ้นในวันหนึ่ง สารโลหะหนักหลายตัวเป็นลักษณะของค็อกเทล สารพิษเหล่านี้อาจจะเสริมแรงกันและกระทบต่อระบบประสาทได้ จะต้องทำงานร่วมกันตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และเป็นวาระระดับโลก และจะต้องหารือกับองค์การอนามัยโลก (WHO)  เกี่ยวกับการจัดการภัยคุกคามทางสุขภาพในระดับภูมิภาค และผลักดันไปพูดคุยในสมัชชาองค์การอนามัยโลก (World Health Assembly) ไทยสามารถเป็นประเทศผู้นำ ในการเสนอวาระดังกล่าว นำเอาประเด็นนี้ไปพูดคุยในวงประชุมของสหประชาชาติ เพื่อกำกับการทำธุรกิจเหมืองแร่ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิทธิมนุษยชน

น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เปิดเผยว่า เหมืองแร่แรร์เอิร์ธเป็นภัยพิบัติที่มีความเสียหายสูงและยังไม่มีทางออก อยากให้รัฐบาลจัดทำแผนปฏิบัติการระดับประเทศในการแก้ไขปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในเมียนมา โดยรัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ควรจะทำเป็นแผนปฏิบัติการระดับประเทศ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งเรื่องสุขภาพความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ เชื่อว่าเรื่องนี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจระดับประเทศสั่นคลอนได้

“จากข้อมูลในปี 2565 พบกลุ่มทุนไทยมีการส่งแร่แรร์เอิร์ทซึ่งเป็นกลุ่มล่อหลอมแถวจังหวัดระยอง เป็นจำนวนกว่าพันตัน รัฐบาลจึงต้องเร่งตรวจสอบต้นตอ ทำให้ทุกอย่างโปร่งใส เป็นที่รับรู้ เพื่อหาทางออกร่วมกัน”น.ส.เพ็ญโฉม กล่าว

น.ส.ส.รัตนมณี พลกล้า มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่า การกดดันให้จีนยุติหรือระงับการทำเหมืองในเมียนมา จะต้องใช้เวทีระดับโลกในการกดดัน รัฐไทยจะต้องมีความเข้มแข็ง มีท่าทีที่แข็งกร้าว แต่ในปัจจุบันเท่าที่เห็นรัฐบาลไทยยังไม่ทำอะไรเงียบมาก ทั้งที่ประชาชนเป็นหมื่นคนเป็นแสนคนในภาคเหนือต้องเผชิญกับสิ่งที่ต้องกระทบกับชีวิต เราอยากเห็นการจัดการมลพิษข้ามพรมแดนจากรัฐบาล 4 เดือนเนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่รัฐบาลจะต้องมาแก้ปัญหาให้ได้

ขณะที่ รศ.ดร.นฤมล ทับจุมพล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในมุมรัฐศาสตร์เราอาจจะติดกับดักประเด็นบูรณาการภาพเหนือดินแดน จึงขอเสนอแนวคิด "No harm principle" ไม่ควรสร้างความรุนแรงหรือผลกระทบต่อประเทศอื่น หรือรัฐควรมีภารกิจว่ากิจกรรมไม่ควรกระทบต่อรัฐอื่น อำนาจอธิปไตยของรัฐจะต้องมีความรับผิดชอบ อำนาจต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ขอให้มีการพูดคุยเรื่องเหมืองแร่แรร์เอิร์ทที่เป็นมลพิษข้ามพรมแดนในการประชุมอาเซียนที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ภายใต้ความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution) ทั้งยังเสนอให้มีการพูดคุยเรื่องความมั่นคงทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ในกรอบ RBC  โดยภาคท้องถิ่นจะต้องมีความเข้มแข็ง สร้างระบบเตือนภัย หรือเขตกันชน (Buffer Zones)

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top