วันที่ 7 ตุลาคม 2568 ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วยนายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิฯ และนางสาวชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิฯ พาผู้เสียหายเกือบ 20 ราย เข้ายื่นแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ร่างทรงพญานาค รายหนึ่ง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท
มูลนิธิฯ ระบุว่า กลุ่มผู้เสียหายถูกหลอกให้ร่วมพิธีกรรมและเช่าบูชาวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง อ้างว่าสามารถเสริมดวงชะตา เพิ่มวาสนา หรือทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับพบว่าไม่มีผลตามที่กล่าวอ้าง หลายรายถึงขั้นต้อง “ผ่อนของขลัง” ทั้งที่ยังมีภาระหนี้สิน จึงเห็นว่าเข้าข่ายความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” และอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งในวันนี้ได้เตรียมนำหลักฐาน เช่น ใบโอนเงิน ข้อความสนทนา คลิปการชักชวน และสื่อโฆษณา มามอบให้พนักงานสอบสวน พร้อมขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินกว่า 18 บัญชีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีมูลค่าการหมุนเวียนเงินจำนวนมาก และอาจเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน
คุณตี้ (สงวนชื่อและนามสกุล) อายุ 46 ปี อาชีพ คลินิกทันตแพทย์ หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนเริ่มบูชาวัตถุมงคล กับผู้ที่อ้างตนเป็นร่างทรงหญิงของพญานาค โดยถูกชักชวนให้ร่วมพิธีและผ่อนชำระวัตถุมงคลราคาแพง อ้างว่าเป็นของเฉพาะบุคคล เทวดาเลือกเองให้ผู้มีบุญเท่านั้นจะได้ครอบครอง
“ตอนแรกศรัทธาเพราะอาจารย์สอนธรรมะ มีเมตตา แต่หลังจากติดตามนาน ๆ เริ่มสังเกตว่ามีการเรียกบูชาซ้ำ ๆ จากคนเดิม ๆ พอตรวจสอบก็พบว่าของที่เช่าบูชามีต้นทุนถูกมาก ดวงแก้วที่บอกว่าศักดิ์สิทธิ์ราคาหลักร้อย แต่ถูกขายในราคาหลักหมื่นถึงสี่หมื่นบาท” ผู้เสียหายกล่าว พร้อมระบุว่าหลังมีข่าวเผยแพร่ อาจารย์ร่างทรงดังกล่าวได้บล็อกการติดต่อและปฏิเสธการคืนเงิน
ผู้เสียหายอีกราย ซึ่งเป็นหญิงชาวพุทธ เผยว่า พบอาจารย์คนนี้ผ่านเพจสอนธรรมะ เห็นว่าเป็นผู้ใฝ่ธรรม จึงร่วมบูชาอัญมณีตามคำแนะนำ แต่ภายหลังพบว่าเงินที่โอนไม่ได้ถูกนำไปช่วยวัดตามที่เข้าใจ อีกทั้งมีการแอบอ้างภาพร่วมกับพระชื่อดังในสื่อ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือโดยที่พระเหล่านั้นไม่ทราบเรื่อง
นายรณณรงค์ เปิดเผยว่า ผู้ถูกกล่าวหา อ้างว่าเป็น “พระชายาพญานาค” มีพฤติการณ์หลอกลวงให้ประชาชนเชื่อในอิทธิฤทธิ์ของวัตถุมงคล ซึ่งต้นทุนจริงมีราคาต่ำมาก แต่ขายในราคาหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท
“ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริง ผมขอเชิญให้นำวัตถุมงคลของผู้เสียหายมาพิสูจน์ที่กองปราบ ว่าศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่” ทนายรณณรงค์กล่าว พร้อมฝากถึงกลุ่มร่างทรงทั้งหลายว่า “ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ต้องผ่อน ศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเองได้ ไม่ใช่ต้องถือของขลังถึงจะได้บุญ”
ขณะที่นายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลเบื้องต้นมีบัญชีที่เกี่ยวข้องราว 18 บัญชี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชื่อบุคคลในครอบครัวและเครือญาติของผู้ถูกกล่าวหา จึงจะส่งให้กรมสรรพากรตรวจสอบว่า มีการยื่นภาษีหรือปกปิดรายได้จากการจำหน่ายวัตถุมงคลหรือไม่
มูลนิธิฯ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ในการโปรโมตสินค้าและวัตถุมงคลของร่างทรงดังกล่าว มีการใช้ภาพดาราและศิลปินร่วมถือหรือพูดถึงสินค้า ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชนเชื่อถือมากขึ้น โดยจะขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่า บุคคลเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่
นายรณณรงค์กล่าวทิ้งท้ายว่า มูลนิธิฯ จะรวบรวมข้อมูลจากผู้เสียหายเพิ่มเติม เพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้พิจารณามาตรการควบคุมกลุ่มที่อ้างตนเป็นร่างทรงหรือผู้มีบารมีทางศาสนา เพื่อหาผลประโยชน์จากประชาชน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในสังคมไทย
“เราไม่ได้กล่าวหาว่าร่างทรงเป็นผู้กระทำผิดทันที แต่อยากให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้วินิจฉัยว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายข้อใดบ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้ความศรัทธาของประชาชนถูกนำไปใช้หาผลประโยชน์อีก” ทนายรณณรงค์กล่าว
ผู้เสียหายทั้งหมดยืนยันว่า การออกมาในวันนี้ไม่ใช่เพราะหมดศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เพราะรู้สึกว่าความเชื่อถูกนำไปหากินโดยมิชอบ และอยากให้กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ทางศรัทธา เพื่อไม่ให้ใครต้องตกเป็นเหยื่อซ้ำอีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี