ไทยพีบีเอสจัดเวที 'รู้สู้ภัย รวมใจเตือนภัยพิบัติ' ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย

ไทยพีบีเอสจัดเวที 'รู้สู้ภัย รวมใจเตือนภัยพิบัติ' ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย

วันอังคาร ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 17.22 น.

ไทยพีบีเอส โดยสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ จัดเวที “รู้สู้ภัย รวมใจเตือนภัยพิบัติ” ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย พร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การเตือนภัย และการรับมือกับภัยพิบัติ ผ่านประสบการณ์จริงจากพื้นที่ 

องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส โดยสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ ภูมิภาคกรุงเทพฯ และปริมณฑล และภูมิภาคตะวันออก จัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย “รู้สู้ภัย รวมใจเตือนภัยพิบัติ” เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2568 ณ Convention Hall 2 ไทยพีบีเอส


ดร.นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ประธานกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. กล่าวเปิดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย ในหัวข้อ “รู้สู้ภัย รวมใจเตือนภัยพิบัติ” โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของสื่อสาธารณะที่ให้ความสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในสังคมไทย ซึ่งในปีนี้ได้ดำเนินงานตามวาระหลักทั้งหมด 5 ประเด็น ได้แก่ 1.ภัยพิบัติ 2.สุขภาพจิตและสังคม 3.การส่งเสริมท้องถิ่นให้เข้มแข็ง 4.การตรวจสอบข้อมูลข่าวสารและป้องกันข่าวปลอม (Fake News) 5.ปัญหาคอร์รัปชัน

ในฐานะนักมานุษยวิทยา ดร. นพ.โกมาตร ได้ศึกษาเรื่องการปรับตัวของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ โดยเน้นย้ำถึงประเด็นสำคัญเรื่อง “ความเสี่ยง” และ “ความเปราะบาง” ของชุมชน โดยชี้ว่าหากสามารถป้องกันภัยได้ ก็ควรดำเนินการทันที เช่น การบริหารจัดการระบบแก้มลิง หรือการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ไม่อาจป้องกันภัยได้ทั้งหมด แต่สามารถลดความรุนแรงและความเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การสร้างพลังและความร่วมมือในชุมชน” หากชุมชนที่มีระบบเตือนภัยและการรับมือที่เข้มแข็ง เช่นมีการเตรียมความพร้อมสำหรับรับมือกับน้ำท่วมและแผ่นดินไหว รวมถึงระบบการสื่อสารภายในชุมชนที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดผลกระทบจากภัยพิบัติได้

ไทยพีบีเอส โดยสำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ ยังได้สนับสนุนบทบาทของนักข่าวภาคพลเมือง ผ่านการนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร รายงานผลกระทบเกี่ยวกับภัยพิบัติ รวมถึงการเปิดเวทีสื่อสารใน “สภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ” เพื่อขยายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการรับมือภัยพิบัติอย่างเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

คุณนิตยา กีรติเสริมสิน ผู้ประกาศข่าว และนักสื่อสารด้านการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติจากไทยพีบีเอส ได้นำเสนอภาพรวมของสถานการณ์ภัยพิบัติในประเทศไทย โดยกล่าวว่า ปี 2023 ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติ อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์เอลนีโญที่ส่งผลกระทบอย่างชัดเจน และภายในปี 2100 โลกจะเผชิญกับภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น

ย้อนกลับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องสูญเสียชีวิตประชาชนจากภัยพิบัติกว่า 10,000 คน โดยเฉพาะเหตุการณ์สึนามิในปี 2547 และภัยพิบัติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในทุกปี “น้ำท่วม” เป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในประเทศไทย และเกิดขึ้นทุกปีตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีการสูญเสียในด้านเศรษฐกิจในระดับสูง ขณะที่งบประมาณของรัฐส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการจัดการผลกระทบภายหลังเกิดเหตุ แต่ยังคงมีข้อจำกัดในกระบวนการทำงานของภาครัฐ หากสามารถวางมาตรการป้องกันล่วงหน้าได้ จะถือเป็นโอกาสสำคัญในการลดความสูญเสีย

ภายในงานยังมีการเสวนาในหัวข้อ “การรับมือภัยพิบัติ” โดย คุณประเชิญ คนเทศ ผู้จัดการมูลนิธิลุ่มน้ำท่าจีน จังหวัดนครปฐม ได้กล่าวถึงการบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับพื้นที่ว่า หัวใจสำคัญของการทำงาน คือการมีแผนงานที่เป็นระบบและสามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งได้ถูกพัฒนาผ่านประสบการณ์การทำงานต่อเนื่องมากว่า 25 ปี  ดำเนินงานโดยอาศัยกลไกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ มีการสรุปฉากทัศน์ (scenario) กำหนดไทม์ไลน์ของสถานการณ์น้ำเองว่า น้ำจะมาทางไหน ช่วงเวลาใด ต้องมีการเฝ้าระวังล่วงหน้าอย่างไร พร้อมทั้งจัดให้มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุจริงเป็นประจำ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าหน้าที่จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เข้าร่วม เป็นการทำงานเชิงระบบในระดับจังหวัด ที่เกิดจากการบูรณาการระหว่างชุมชน ท้องถิ่น และหน่วยงานรัฐ เพื่อให้การรับมือกับภัยพิบัติในพื้นที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนครปฐมถือเป็นจังหวัดนำร่องของภาคกลางในการจัดการภัยพิบัติด้านน้ำ 

คุณณัฏฐ์ฤพงศ์ ภูบัวเพชร ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยาจังหวัดนครปฐม กล่าวถึงการสื่อสารและการแจ้งเตือนภัยพิบัติว่า การคาดการณ์และแจ้งเตือนภัย โดยเฉพาะในกรณีของพายุสามารถติดตามเส้นทางและแจ้งเตือนได้ล่วงหน้า พร้อมทั้งเน้นว่าการสื่อสารต้องไม่สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน และขณะนี้ประเทศไทยมีสถานีวัดปริมาณน้ำฝนมากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งข้อมูลที่ได้จากสถานีเหล่านี้ได้นำมาวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง โดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้พัฒนาระบบให้สามารถคาดการณ์ได้ในระดับตำบล เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล สามารถนำไปใช้งานจริงได้ในระดับพื้นที่ โดยข้อมูลที่วิเคราะห์แล้วจะถูกนำไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของกรมอุตุนิยมวิทยา และส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้วางแผนรับมือภัยพิบัติได้อย่างเหมาะสม

ในช่วงบ่าย มีการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในรูปแบบ Focus Group โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามหัวข้อสำคัญ ได้แก่ กลุ่มที่ 1 การสื่อสารแจ้งเตือนภัยพิบัติ กลุ่มที่ 2 การจัดการภัยพิบัติ กลุ่มที่ 3 การรับมือหลังเกิดเหตุภัยพิบัติ ภายหลังการอภิปราย ผู้แทนจากแต่ละกลุ่มได้นำเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะร่วมกัน ก่อนจะเข้าสู่การสรุปและปิดกิจกรรมในช่วงท้าย

ทั้งนี้ ไทยพีบีเอส พร้อมทำหน้าที่ในการสื่อสารข้อมูลภัยพิบัติอย่างรอบด้าน และร่วมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  สามารถติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ ไทยพีบีเอส ได้ที่ www.thaipbs.or.th/Sapa 

ไม่พลาดทุกข่าวสาร สาระความรู้ และคอนเทนต์คุณภาพ ติดตามไทยพีบีเอสทุกช่องทางออนไลน์ ได้ที่

▪ Website : www.thaipbs.or.th   
▪ Application : Thai PBS
▪ Social Media Thai PBS : Facebook, YouTube, X , LINE, TikTok, Instagram, Threads, Linkedin

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top