ทบ.สวนเขมร บิดเบือนไทยใช้อาวุธเคมี ‘สระแก้ว’ คืนพื้นที่28ไร่

ทบ.สวนเขมร บิดเบือนไทยใช้อาวุธเคมี ‘สระแก้ว’ คืนพื้นที่28ไร่

วันอังคาร ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ทบ.สวนเขมร

บิดเบือนไทยใช้อาวุธเคมี

สระแก้วคืนพื้นที่28ไร่

มทภ.1-ผู้ว่าฯสระแก้ว ลงพื้นที่ติดตามการกู้ทุ่นระเบิดบ้านหนองจาน พร้อมคืนพื้นที่ปลอดภัยบ้านหนองหญ้าแก้ว ให้ปชช.2 แปลง 28 ไร่ ขณะที่รบ.แถลงกรอบเจรจา JBC ไทย-เขมร 21-22 ตุลาคม ที่เมืองจันท์ อธิบดีสนธิสัญญาย้ำจำเป็นต้องถก เพื่อแก้ปมพิพาทเขตแดน แก้ TOR 2003 ใช้ไลด้า ทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ กำหนดเขตที่ 2 ฝ่ายเห็นตรงกัน ด้าน โฆษก กห.เผยลุยกำหนดกรอบเวลาปราบสแกมเมอร์-กู้ระเบิด ให้เขมรต้องแสดงความจริงใจให้มากกว่านี้ ส่วนคปท.-กลุ่มรวมพลังแผ่นดินบุกกต.จี้เลิกเจรจา JBC- เลิก MOU 43-44 ฉะเขมรละเมิดไทย ทำปชช.เดือดร้อน ไทยมีสิทธิ์ยกเลิกฝ่ายเดียวได้เลย โฆษกทบ.โต้เขมร ยืนยันไทยกองทัพไทยไม่เคยใช้อาวุธเคมีในปฎิบัติการกับเขมร ซัดกัมพูชาบิดเบือนหวังสร้างความเข้าใจผิด และขอรับเงินช่วยเหลือจากต่างชาติ

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทัพภาคที่ 1 (มทภ.1) เดินหน้าภารกิจปกป้องอธิปไตยพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาทุกมิติ โดย พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1/ผบ.ศปก.ทภ.1 ลงพื้นที่ชายแดนสระแก้ว พร้อมนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ติดตามความคืบหน้าการวางแผนเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจาน เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมพื้นที่ให้ปลอดภัยสำหรับการดำเนินชีวิตของประชาชน และใช้พื้นที่ทำกินได้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างสำรวจพื้นที่ ซึ่งมีความละเอียดอ่อนหลายปัจจัย จึงจำเป็นต้องพิจารณารอบด้าน เพื่อให้ชุดปฏิบัติเก็บกู้ทุ่นระเบิดดำเนินการได้ และประชาชนในพื้นที่ปลอดภัย


คืนพื้นที่ปลอดภัยบ้านหนองหญ้าแก้ว28ไร่

นอกจากนี้ แม่ทัพภาคที่ 1 และคณะเดินทางไปบ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อติดตามการเคลียร์พื้นที่ปลอดภัย ร่วมกับผู้ว่าฯสระแก้ว และส่งมอบพื้นที่ทำกินปลอดภัยให้นางสมปอง เพ็ชรจิตต์ ที่ดินทำกินแปลงที่ 55 จำนวน 14 ไร่ และมอบให้นายสมพงษ์ วงชมภู ที่ดินทำกินแปลงที่ 56 จำนวน 14 ไร่ รวมทั้งหมด 28 ไร่ ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 1ได้พบปะประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ รวมทั้งมวลชนที่มาให้กำลังใจทหาร และผู้แทนมูลนิธิช่วยเหลือสังคมที่ร่วมสนับสนุนภารกิจของกองทัพมาตลอด โดยแม่ทัพภาคที่ 1กล่าวขอบคุณมวลชน ที่เชื่อมั่นและสนับสนุนการทำงานของกองทัพมาตลอด ถือเป็นพลัง เป็นแรงใจเดินหน้าปกป้องแผ่นดินไทย ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 1 ยืนยันจะมุ่งมั่นทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทยอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อสร้างความปลอดภัยและคืนพื้นที่ให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน

รบ.แถลงกรอบเจรจาJBC-GBCไทยเขมร

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ร่วมแถลงกรอบการเจรจาทวิภาคไทย-กัมพูชา โดยนายสิริพงษ์กล่าวว่า วาระที่จะประชุม JBC และ GBC สัปดาห์นี้ นายกฯรับทราบถึงความห่วงใย และข้อกังวลประชาชน ที่ว่าการประชุม JBC และ GBC ที่จะเกิดขึ้นสุ่มเสี่ยง และมีข้อห่วงใยใดๆหรือไม่ รัฐบาลจึงคิดว่าควรสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน และยืนยันว่าการประชุมทุกระดับเป็นเรื่องที่รัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายต่างประเทศได้หารือวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และประชาชน ทั้งนี้ ก่อนประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ มาเลเซีย จะประชุม 2 รายการสำคัญคือ วันที่ 20 - 22 ตุลาคมเป็นการประชุมระดับรมว.กลาโหม ที่มาเลเซีย และวันที่ 21 - 22 ตุลาคมจะประชุม JBC ที่จ.จันทบุรี โดยรัฐบาลรับทราบข้อห่วงใยถึงการสละสิทธิ์จะยกเลิก MOU หรือไม่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อสถานการณ์บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว

“ยืนยันการประชุม JBC ไม่ทำให้เสียดินแดน แต่พื้นที่ใดที่ยังไม่ตกลงกัน ต้องพูดคุยเพราะ JBC เป็นหนึ่งในกลไกเจรจา ส่วนการยกเลิก MOU 43 - 44 หรือไม่ เป็นเรื่องอนาคต แต่ปัจจุบันเรายังมีกลไกที่ใช้แสวงหาความร่วมมือได้อยู่ และเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งการประชุมครั้งนี้กำหนดกรอบให้ชัดเจน เพื่อให้เห็นผลการขับเคลื่อน เพราะเราหวังว่าสถานการณ์เหล่านี้จะคลี่คลายโดยเร็วที่สุด”โฆษกรัฐบาลกล่าว

ย้ำถกJBCจำเป็นเร่งแก้TOR2003-ทำแผนที่

ขณะที่นายเบญจมินทร์กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุม JBC มีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เป็นประธานฝ่ายไทย โดยการประชุมครั้งนี้เน้นเฉพาะเรื่องเขตแดน ต่อเนื่องจากการประชุมครั้งที่แล้ว ซึ่งการกำหนดประเด็นหารือเราต้องการให้สอดคล้องกันคือ เวที GBC และ RBC เพื่อให้ไทยผลักดันผลประโยชน์ของชาติได้อย่างเป็นเอกภาพ ทั้งนี้ การประชุม JBC สมัยพิเศษ เมื่อวันที่ 10 กันยายนมอบหมายให้หารือกรณีบ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว รวมถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย อาทิ สร้างรั้วให้ชัดเจน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ JBC ซึ่งสะท้อนความตั้งใจฝ่ายไทยที่จะแก้ปัญหาเขตแดน ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ จึงจำเป็นที่การประชุม JBC ต้องมีขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่คาดว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะหารือเพิ่มเติมคือ เร่งแก้ไข TOR 2003 เพื่อนำเทคโนโลยีไลด้า มาใช้ทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ และการเสนอพื้นที่เร่งด่วนกำหนดเขตแดน โดยเฉพาะพื้นที่สองฝ่ายเห็นตรงกันแล้ว ขอย้ำว่าการประชุมครั้งนี้เป็นหนึ่งในกลไกทวิภาคีที่จะใช้ดึงกัมพูชาสู่โต๊ะการเจรจาอย่างสันติวิธี เป็นการตอกย้ำประชาคมระหว่างประเทศ ว่าการแก้ปัญหาเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาชอบธรรม

พุ่งเป้าขีดเส้นเขมรกู้ระเบิด-ปราบสแกมเมอร์

พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า การประชุม JBC เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมาเห็นชอบใน 4 ประเด็นคือ 1.ถอนอาวุธหนักตามแนวชายแดน 2.เก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน 3.ปราบสแกมเมอร์ และ4.จัดระเบียบและฟื้นฟูสู่ความสงบเรียบร้อยบริเวณบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว โดยมีบางประเด็นขับเคลื่อนไปแล้ว เช่น ปราบสแกมเมอร์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งทีมรวบรวมข้อมูล 60 แห่ง ส่งกัมพูชา ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการถอนอาวุธหนักนั้น ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ สำหรับฝ่ายไทย เราจึงอยากผลักดันให้เขมรแสดงความจริงใจประเด็นนี้มากขึ้น ทั้งนี้ การประชุมจะหารือกำหนดแผนที่ให้เขมรปฏิบัติร่วมกับไทย โดยเฉพาะการถอนอาวุธหนักที่ชายแดน ต้องกำหนดเวลาดำเนินการให้ชัดเจน ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ที่ผ่านมาดูเหมือนขับเคลื่อนค่อนข้างช้า จะกำหนดให้ชัดว่าต้องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจุดใดบ้าง ช่วงเวลาใด รวมถึงการปราบสแกมเมอร์ จะมีแผนและการกำหนดเวลาปฏิบัติการร่วมกันอย่างชัดเจน โดยในการประชุมครั้งนี้ จะมีมาเลเซียและสหรัฐฯมาร่วมเป็นสักขีพยานและสังเกตการณ์ความจริงใจของสองฝ่ายด้วย

คปท.บุกกต.จี้เลิกเจรจาJBC-MOU43-44

วันเดียวกัน เวลา 09.30 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำมวลชนเดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ เรียกร้องให้ยกเลิกประชุม JBC วันที่ 21-22 ตุลาคม และยกเลิก MOU 43-44 ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัยของตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล 7

ชี้เขมรแหกกฎไทยยกเลิกฝ่ายเดียวได้

นายพิชิตกล่าวว่า กลุ่มรวมพลังแผ่นดินฯมาเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศยกเลิก MOU43-44 เพราะมองว่าไม่เกิดประโยชน์กับสถานการณ์ชายแดนไทย-เขมร เนื่องจากหน่วยงานราชการในประเทศถือแผนที่คนละฉบับ โดยกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ออก MOU 43-44 ยึดแผนที่อัตรา 1:200,000 ขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคงยึดแผนที่อัตราส่วน 1:50,000 ประกอบกับที่ผ่านมาเขมรละเมิดMOU 43-44 มาตลอด ทั้งการโจมตีสถานีบริการน้ำมัน โจมตีโรงพยาบาลและวางทุ่นระเบิดทำให้ทหาร รวมทั้งพลเรือนบาดเจ็บเสียชีวิต ดังนั้น ไทยจึงสามารถยกเลิก MOU ฝ่ายเดียวได้

ฮึ่มบุกกดดันถกJBC21ตค.ที่เมืองจันท์

ส่วนที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ผ่านโซเชียลว่า ไม่เคยเต็มใจเจรจาหยุดยิงเลย กลุ่มรวมพลังแผ่นดินจึงมองว่าควรยกเลิก MOU 43-44 และเลื่อนประชุม JBC ออกไปก่อน เพราะหากเจรจาต่อไปจะเท่ากับการยอมรับเงื่อนไข และพฤติกรรมการละเมิด MOU ของกัมพูชาว่าชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่บอกว่าการยกเลิก MOU43-44 จะทำให้ไม่มีเครื่องมือประชุมระดับทวิภาคีทั้ง GBC และ JBC นั้น ตนมองว่าไม่เป็นความจริง เพราะการประชุมดังกล่าวล้วนเกิดขึ้นก่อนจะมี MOU43-44 ทั้งสิ้น พร้อมบอกว่ากลุ่ม คปท.จะเป็นตัวแทนไปยื่นข้อเรียกร้อง และกดดันการประชุม JBC ที่จะมีขึ้นที่จังหวัดจันทบุรี ในวันพรุ่งนี้(21 ตุลาคม) ต่อไป

MOUมิชอบไม่ผ่านสภาขัดรธน.

ต่อมาเวลาประมาณ 12.00 น. หลังกลุ่มรวมพลังแผ่นดินฯยื่นหนังสือให้กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายธนพ ปัญญาพัฒนากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนรับหนังสือ นายพิชิตอ่านแถลงการณ์ เรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกข้อตกลง MOU 43 และ MOU 44 ยกเลิกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ไทย–กัมพูชา ที่กำหนดขึ้นวันที่ 21-22 ตุลาคมนี้ ที่จันทบุรี โดยชี้แจงเหตุผลว่า MOU ทั้งสองฉบับไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา จึงขัดรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ อีกทั้ง ยังไม่เป็นไปตามคำแถลงนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศว่าจะทำประชามติให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจ พร้อมย้ำให้รัฐบาล ปกป้องอธิปไตยและสถานะความเป็นรัฐเอกราชของไทยอย่างเร่งด่วน

พิชิตฉะเขมรไม่เห็นด้วยไทยจะไปคุยทำไม

วันเดียวกัน นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊ก Pichit Chaimongkol ระบุ 21 ต.ค. เจอกันการประชุม JBC ที่จันทบุรี ฮุนมาเนต บอกไม่เคยเห็นด้วยเจรจาหยุดยิง ไทยจะประชุมทำไม

กล่าวหาอาวุธไทยทิ้งสารเคมีตกค้าง70ชนิด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หน่วยงานแห่งชาติเพื่อการห้ามอาวุธเคมี นิวเคลียร์ ชีวภาพ และรังสี (NACW) ออกมาเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ ให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน สำหรับความพยายามทำลายและกำจัดวัตถุอันตรายจากอาวุธเคมี ซึ่งยังเป็นภัยคุกคามสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในเขมร โดยระบุเพิ่มเติมว่า ในความขัดแย้งชายแดนไทย-เขมรช่วงเดือนกรกฎาคม ไทยใช้ปืนใหญ่และอาวุธหลากหลายประเภทโจมตีฐานที่มั่นของเขมร ทางหน่วยงานฯ ส่งคณะผู้เชี่ยวชาญไปเก็บตัวอย่างจากพื้นที่ต้องสงสัยมาตรวจว่ามีการปนเปื้อนตามแนวชายแดนไทย-เขมร ผลตรวจระบุสารเคมีมากกว่า 70 ชนิดที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมนุษย์ สัตว์ และระบบนิเวศ ขณะนี้เราตรวจพบสารเคมีอันตรายหลายชนิดที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและเงิน ในการกำจัดหรือทำลาย จึงเรียกร้องให้พันธมิตรด้านการพัฒนาพิจารณาบูรณาการทำความสะอาดสารเคมีและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเข้ากับโครงการด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูบูรณะที่มีอยู่ โดยเฉพาะโครงการที่สนับสนุนสำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดและช่วยเหลือเหยื่อของกัมพูชา

ทบ.โต้ทันควันไทยไม่เคยใช้อาวุธเคมี

ต่อมาพลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกของไทยออกมาแถลงยืนยันว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ปราศจากหลักฐานสนับสนุน และไม่มีน้ำหนักทางกฎหมาย พร้อมชี้แจงว่า ประเทศไทยไม่ได้มีปฏิบัติการที่ใช้อาวุธเคมี ส่วนกรณีกระสุนฟอสฟอรัสขาว (WP) มีวัตถุประสงค์หลักใช้สร้างควัน แสงสว่าง ระเบิด และเพลิง ไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอาวุธเคมีตามอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention – CWC) รวมถึงไม่มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศใดที่ห้ามเก็บรักษาหรือการใช้งานกระสุนชนิดนี้ ไทยจึงสามารถเก็บรักษาและใช้ตามภารกิจทางทหารได้ภายใต้กรอบกฎหมายสากล ทั้งนี้ การใช้กระสุน WP ของกองทัพบกไทยอยู่ภายใต้ระเบียบการควบคุมอย่างเข้มงวด ใช้ต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และไม่เคยมีการนำไปใช้เพื่อมุ่งทำลายชีวิตพลเรือนแต่อย่างใด กองทัพบกเน้นย้ำว่า ปฏิบัติการทางทหารของไทย ไม่มีการใช้อาวุธเคมี ส่วนการใช้กระสุนฟอสฟอรัสขาว WP อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายสากลเคร่งครัด สอดคล้องกับหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยจะเห็นได้ว่าการที่เขมรเผยแพร่ข้อกล่าวหา มุ่งหวังบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความเข้าใจผิดในเวทีสาธารณะเท่านั้น

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top