วันเสาร์ ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ตร.ไซเบอร์บุกค้น 6 บริษัทเถื่อนเอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบเหยื่อถูกหลอกโอนเข้าบัญชีแล้วกว่า 34 ล้านบาท
ตามนโยบายของรัฐบาล ได้กำหนดนโยบายในการเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง จตช.ในฐานะ รอง ผอ.ศปอส.ตร.ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท.นำเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ และดำเนินคดีให้ถึงที่สุด จนนำมาสู่ปฏิบัติการดังกล่าว
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ที่บริเวณชั้น 1 บก.สอท.2 นำโดย พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ คล้ายคลึง รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2 และ พล.ต.ต.ศิลา กาญจน์รักษ์ ผบก.สอท.5 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ตร.ไซเบอร์บุกค้น 6 บริษัทเถื่อนเอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบเหยื่อถูกหลอกโอนเข้าบัญชีแล้วกว่า 34 ล้านบาท
สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท.ได้สั่งการให้ยกระดับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในทุกมิติ จึงได้เร่งสืบสวน ขยายผล และกวาดล้างจับกุมอย่างเข้มข้น จนนำมาสู่ปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมในครั้งนี้
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.2 ได้สืบสวนคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงผู้เสียหาย โดยใช้บัญชีม้าถอนเงินสดจากธนาคาร แล้วนำเงินสดไปซื้อเงินสกุลดิจิทัลเพื่อปกปิดเส้นทางการเงิน จนนำมาสู่การออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องในข้อหา “ร่วมกันกันฉ้อโกงประชาชน”, “โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่ทำให้ เกิดความเสียหายแก่ประชาชน”, “ร่วมกันซ่องโจร”, “ร่วมกันสมคบกันฟอกเงิน” และ “เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาเพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยินยอมให้บุคลอื่นใช้ หรือยืมใช้หมายเลขโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน”
ต่อมาวันที่ 9 ต.ค.68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.2 ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ที่ 13 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี สามารถจับกุม นายณัฐนันท์ อายุ 35 ปี พร้อมตรวจยึดพยานหลักฐานสำคัญเป็นโทรศัพท์มือถือ iPhone 15 Pro Max จำนวน 1 เครื่อง
จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือเครื่องดังกล่าว พบข้อมูลหลักฐานสำคัญเป็นแชทที่นายณัฐนันท์ ได้พูดคุยกับผู้สั่งการที่เชื่อมโยงไปยังกลุ่มคนจีนผ่านแอปพลิเคชัน Telegram จากการตรวจสอบบทสนทนา พบว่า หลังจากนายณัฐนันท์ทำหน้าที่ถอนเงินสดบัญชีม้าแล้ว ได้ผันตัวเองเป็นผู้ทำหน้าที่จัดหาบัญชีธนาคารเพื่อรอรับเงินที่ได้มาจากการกระทำผิด แล้วคอยถอนเงินหรือโอนเงินต่อเพื่อปกปิดเส้นทางการเงินอันเป็นการฟอกเงิน
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบข้อมูลว่า นายณัฐนันท์ ได้จัดหาบัญชีธนาคารประเภทนิติบุคคลรูปแบบบริษัทมารับเงินผิดกฎหมาย ทั้งหมด จำนวน 9 บัญชี โดยทั้ง 9 บัญชี ถูกจดทะเบียนเป็นชื่อบริษัทจำนวน 6 บริษัท เมื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวในบัญชีทั้งหมด พบว่าเป็นบัญชีที่ใช้รับเงินของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ และได้แจ้งความไว้ในระบบ thaipoliceonline แล้วจำนวน 30 เคสไอดี รวมความเสียหายกว่า 34 ล้านบาท
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายค้นนิติบุคคลทั้ง 6 บริษัท และได้เข้าตรวจค้น จำนวน 6 จุด ผลการตรวจค้น พบว่าทั้ง 6 บริษัท ไม่ได้มีการดำเนินกิจการตรงตามที่แจ้งจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท จึงเชื่อว่าเป็นเพียงการจดทะเบียนนิติบุคคลขึ้นมาเพื่อใช้ในการเปิดบัญชีคอยรับเงิน และฟอกเงินให้แก่ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์เท่านั้น โดยขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบข้อมูลผู้เกี่ยวข้องกับทั้ง 6 บริษัทดังกล่าวแล้ว อยู่ระหว่างการเร่งติดตามตัว และสืบสวนขยายผลในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี