วันอังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
‘อธิบดีกรมราชทัณฑ์’ขานรับคำสั่ง‘รมว.ยุติธรรม’ทบทวน 3 ประเด็นสำคัญ กฎระเบียบราชทัณฑ์ ส่งผู้ต้องขังป่วยรักษาตัวนอกเรือนจำ-ประเมินพักโทษกรณีมีเหตุพิเศษฯ-จัดทำหลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไขคุมขังนอกเรือนจำ หวั่นเอื้อประโยชน์ผู้ต้องขังบางราย เน้นคำนึงหลักสิทธิมนุษยชน แย้มพร้อมตั้งคณะทำงานฯร่วมศึกษาทบทวนแก้ไข ก่อนเสนอความเห็นปลัดยุติธรรม
จากกรณี พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม ลงนามหนังสือถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงวันที่ 7 พ.ย.68 ขอให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎ ระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ และแนวทางการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ การพิจารณาการพักการลงโทษ และการกำหนดอาณาเขตในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำให้เป็นสถานที่คุมขัง เนื่องด้วยปรากฏว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรม ป.ป.ช.) ได้มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ต้องขัง ซึ่งพบว่ากระบวน การพิจารณาและการตีความระเบียบหลักเกณฑ์ อาจก่อให้เกิดความไม่ชัดเจน ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของหน่วยงาน และเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยความถูกต้อง ชัดเจน รอบคอบ รัดกุม โปร่งใส และเป็นไปตามหลักนิติธรรม จึงขอให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงใน 3 ประเด็นดังกล่าว
ล่าสุดวันนี้ (18 พฤศจิกายน 2568) พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติ ธรรม ได้สั่งให้ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ปลัด ยธ.) ดำเนินการทบทวนแก้ไขใน 3 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย ประเด็นแรก การส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ถูกมองว่าเป็นการใช้ดุลพินิจของพยาบาลในการส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ มีความเหมาะสมหรือไม่ เรื่องนี้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ความเห็นว่า เนื่องด้วยตนยังไม่ได้รับเอกสารฉบับเต็มอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่ได้เห็นรายละเอียดทั้งหมด แต่อย่างไรก็ดี เมื่อได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการแล้วจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด โดยมีตนในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธาน และจะเชิญคณะผู้บริหารของกรมฯ เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึง ผอ.กองทัณฑวิทยา กองทัณฑปฏิบัติ กองกฎหมาย กองบริการทางการแพทย์ เป็นต้น มาร่วมเป็นคณะทำงานเพื่อศึกษาในแต่ละประเด็น ทบทวน แก้ไข และเพื่อเสนอความเห็นโดยสรุปไปยังปลัดกระทรวงยุติธรรมรับทราบ
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยอีกว่า ในเรื่องของการให้ทบทวนว่าใช้ดุลพินิจของพยาบาลในการส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ ตนหวังว่าเรื่องนี้มองได้สองมุม โดยเฉพาะในเรื่องของความเร่งด่วน หากเรือนจำนำส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยล่าช้า แล้วผู้ต้องขังเกิดเสียชีวิตระหว่างทาง ราชทัณฑ์ก็จะถูกญาติของผู้ต้องขังฟ้องดำเนินคดีได้ จึงมองว่าต้องพิจารณาเป็นรายกรณี โดยถ้าหากเจ้าหน้าที่เห็นด้วยกายภาพแล้วพบว่าผู้ต้องขังรายดังกล่าวมีอาการหนัก แต่ต้องรอติดต่อกับแพทย์ มันก็ไม่มีเวลาที่จะช่วยชีวิตผู้ต้องขังทันได้ กรณีเช่นนี้จะต้องรีบนำส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลทันที
แต่อีกประการ คือ หากมองทางกายภาพแล้วพบว่าผู้ต้องขังยังพอไหว เจ็บป่วยทั่วไป เราก็ต้องทบทวนหาวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมในการส่งผู้ต้องขังรับการรักษาพยาบาล หรืออาจพิจารณาให้แพทย์ได้เข้ามาตรวจร่างกายผู้ต้องขังก่อน อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยต้องยอมรับว่าในกรณีหากมีอาการวิกฤตฉุกเฉิน กฎหมายก็ระบุว่าต้องรีบส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราต้องชั่งน้ำหนักในประเด็นสิทธิมนุษยชน และแนวทางการปฏิบัติอย่างเหมาะสม
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยต่อว่า ส่วนประเด็นการพักโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งทางรัฐมนตรีฯ มองว่าการใช้ดุลพินิจของพยาบาลในการประเมินแบบประเมินคัดกรองควรเป็นแพทย์เป็นผู้ประเมินหรือไม่ รวมถึงแบบประเมินคัดกรองในปัจจุบันมีมาตรฐานหรือไม่ ในกรณีที่ผู้ต้องขังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อยนั้น เรื่องนี้ทางคณะทำงานก็คงจะต้องนำประเด็นนี้มาพิจารณาทบทวนเพื่อหาความเหมาะสม เฉกเช่นเดียวกับประเด็นเรื่องการจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข การกำหนดอาณาเขตในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำให้เป็นสถานที่คุมขัง ก็ต้องหาแนวทางปฏิบัติและใช้ดุลพินิจอย่างเหมาะสม
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี