วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
‘อัจฉริยะ’งัดหลักฐานอ้าง 4 ตำรวจภาคอีสานซื้อตำแหน่ง 24 ล้าน ร้อง DSI กล่าวโทษ‘ผบ.ตร.’

‘อัจฉริยะ’งัดหลักฐานอ้าง 4 ตำรวจภาคอีสานซื้อตำแหน่ง 24 ล้าน ร้อง DSI กล่าวโทษ‘ผบ.ตร.’

วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 16.21 น.

‘อัจฉริยะ’งัดหลักฐานอ้าง 4 ตำรวจภาคอีสานซื้อตำแหน่ง 24 ล้าน ร้อง DSI กล่าวโทษ‘ผบ.ตร.’

19 พฤศจิกายน 2568 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และพวก ในข้อหาตามพระราชบัญญัติตำรวจ มาตรา 87 วรรคท้าย ซึ่งเทียบเท่ากับมาตรา 157 หลังมีผู้เสียหายนำหลักฐานเป็นแชทข้อความและคลิปเสียง ที่มีเนื้อหาการซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจ


นายอัจฉริยะ อ้างว่า ข้อความทั้งหมดที่ตัวเองนำมาเป็นหลักฐานนั้น คือ เหตุการณ์ที่เกิดในปี 2567 โดยปัจจุบันนายตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้เข้ารับราชการในตำแหน่งที่ตั้งเป้าไว้ ซึ่งนอกจากมีข้อความการสนทนาแล้ว ยังมีคลิปเสียงการพูดคุยระหว่างตัวเองกับภรรยาของนายตำรวจระดับผู้บังคับการในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) หรือตำตรวจภูธรภาค 4 (บช.ภ.4) ซึ่งเป็นผู้เสียหายและได้ร้องทุกข์กับตัวเอง พร้อมนำพยานหลักฐานเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าถูกคุณหญิงแอบอ้างเบื้องสูงเข้ามาแอบอ้างกับตัวเองว่าสามารถช่วยให้ตำรวจได้รับตำแหน่งต่างๆได้ โดยจะต้องแลกกับค่าตอบแทน ซึ่งเป็นเงินสดหรือทรัพย์สินราคาแพงในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินสด , นาฬิกา และกระเป๋าแบรนด์เนม

นายอัจฉริยะ กล่าวอ้างว่า เนื้อหาที่ปรากฏเกี่ยวข้องกับนายตำรวจ 4 นาย คือ ยศ พ.ต.ท. ตำแหน่ง รองผกก. ในจังหวัดภาคอีสาน ซึ่งต้องการจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ทางภาคอีสาน รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกนำมาใช้สำหรับแลกเปลี่ยนในการแต่งตั้งทั้งหมด 24 ล้านบาท

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ส่วนนี้จึงต้องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องตาม พระราชบัญญัติตำรวจมาตรา 88 วรรคท้าย ซึ่งระบุว่า ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด หรือแอบอ้างอำนาจของบุคคลใดหรือเรียก รับ ยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด หรือกระทำการใดอันมิชอบ เพื่อให้มีการแต่งตั้ง หรือไม่แต่งตั้งผู้ใดให้ดำรงตำแหน่งใด ไม่ว่าการแต่งตั้งหรือไม่แต่งตั้งนั้นจะชอบด้วยหลักเกณฑ์ ตามพระราชบัญญัตินี้หรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี

นายอัจฉริยะ ยืนยันว่า การที่ตัวเองออกมาเปิดเผยข้อมูลและแจ้งความดำเนินคดีกับผู้นำองค์กรตำรวจในระยะนี้ เนื่องจากต้องการให้สังคมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นประเด็นการทุจริต และตัวเองไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเฉพาะฝั่งของ ผบ.ตร.เท่านั้น แต่ในวันที่ 26 พ.ย. ที่จะถึงนี้ ตัวเองยังเปิดข้อมูลการทุจริตในฝั่ง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผบ.ตร.เช่นกัน ในประเด็นที่เจ้าตัวอาจจะเกี่ยวข้องกับการครอบครองทองคำ น้ำหนัก 300 บาท ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ต้องชี้แจงที่มาที่ไปต่อสังคมให้ได้

ส่วนกรณีที่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ (รอง จตช.) กล่าวตำหนิพฤติกรรมของตนในที่ประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ จากการสอบถาม ปปง.เรื่องเกี่ยวกับการดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินของนายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรคกล้าธรรม นั้น หาก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ไม่มีไฟเขียว ในวันนี้จะมีการยึดอายัดทรัพย์สินของนายชนนพัฒฐ์ หรือไม่ ตนเป็นสายลับ ปปง. มา 10 กว่าปี ตนจึงย่อมมีสิทธิ์ที่จะสอบถาม ปปง. เมื่อประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ อนุญาต ตนไม่ได้ใช้อำนาจอะไร ตนมีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ

นายอัจฉริยะ ย้อนกลับไปถึง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ว่า ท่านเป็นเจ้าของสำนวนคดีนี้เอง เป็นผู้จับกุมเอง แต่กลับยึดเงินสดได้เพียง 2.1 ล้านบาท และรถยนต์ 3 คัน ไม่สามารถยึดของกลางจำพวกอาวุธปืน คอมพิวเตอร์ และเอกสารอื่นๆ ทำไมไม่ไปถาม ผกก.สภ.เมืองสงขลา ว่า เพราะเหตุใดถึงคืนรถของกลางจำนวน 2 คันให้นายชนนพัฒฐ์ ซึ่งได้นำรถทั้ง 2 คันไปขายต่อแล้ว

“ผมเป็นเพียงแค่ประชาชนคนหนึ่ง ไม่ใช่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ แต่ก็ยังทราบเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด แล้วทำไม พล.ต.ท.ไตรรงค์ ถึงไม่ทราบ เมื่อท่านไม่ถาม ปปง. ผมก็ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญถามแทน ผมมีข้อมูลทรัพย์สินของนายชนนพัฒฐ์ มากถึงพันล้านกว่าบาท จึงถามย้อนกลับไปถึง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ว่า ผมผิดอะไร” นายอัจฉริยะ กล่าว

-005

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top