วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
‘บิ๊กโจ๊ก’ฟาดแหลก
ตร.ซื้อขายตำแหน่ง
จี้‘บิ๊กต่าย’รับผิดชอบ
‘อัจฉริยะ’ร้องDSIฟัน
“บิ๊กโจ๊ก” ดับเครื่องชน ให้ข้อมูล กมธ.กฎหมายฯ สว.จวกตำรวจซื้อขายตำแหน่งเลวร้ายทำองค์กรพังพินาศ บี้ ผบ.ตร.รับผิดชอบ ลามจี้นายกฯ ให้ ‘บิ๊กต่าย’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ด้านรองจเรฯ ยันพร้อมตรวจสอบปมซื้อขายตำแหน่ง ดำเนินการเด็ดขาด ขณะที่ ‘อัจฉริยะ’ ร้องดีเอสไอ เอาผิด ผบ.ตร.กับพวก
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.กล่าวว่าได้เข้าพบคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมายและการยุติธรรม วุฒิสภา ในกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สแกมเมอร์ และเว็บพนัน ว่าเป็นข้อมูลคล้ายกับที่เคยให้กับทาง กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แต่อาจจะมีเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องเส้นทางการเงิน รวมทั้งกรณีการซื้อขายตำแหน่งที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้
“ถ้าหาก พล.ต.อ.กิตติ์รัตน์ พันธุ์เพชร์ ผบ.ตร.จะแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต้องดำเนินคดีกับผู้ที่มาขอให้แต่งตั้ง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 87 ระบุว่า ผู้ขอให้แต่งตั้งหรือไม่แต่งตั้งเป็นความผิดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัตน์ จะต้องดำเนินคดีกับทุกคนที่มาขอ หรือส่งไลน์มา
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า การเปิดเผยเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคดีของตน มันคนละเรื่องกัน อย่าทำให้สังคมสับสน ถามว่าคดีของตนเกี่ยวข้องอะไรกับนายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว ส.ส.สงขลา พรรคกล้าธรรม จะไปเกี่ยวอะไรกับเว็บพนันที่จ่ายให้ตำรวจไซเบอร์ มันคนละประเด็นกัน ส่วนที่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ ออกมาระบุว่าขอให้ประชาชนคิดก่อนฟังข้อมูลที่ตนเผยแพร่นั้น สิ่งที่ตนพูดไม่ได้คาดหวังให้ประชาชนเชื่อ แต่อย่าคิดว่าประชาชนโง่ การที่พูดเช่นนี้เป็นการดูถูกประชาชน เขารู้ว่าอะไรคือเท็จหรือจริง ตามพยานหลักฐานและเอกสาร ส่วนคดีความของตนขอให้ประชาชนตราหน้าไปว่าผิด ตนจะต่อสู้เอง แต่วันนี้สิ่งที่ประชาชนสงสัยคือเหตุใดถึงเลือกดำเนินคดีแค่กับตน แต่ตำรวจ 200 คน ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันก็ยังทำงานอยู่ตามปกติ
“ถ้านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ไม่สั่งให้ ผบ.ตร.หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือให้ไปช่วยราชการ ก็จะต้องโดนเรื่องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย ผมไม่เชื่อว่านายกฯ จะรับเงินรับทอง แต่ประชาชนสงสัยว่ารับประโยชน์อื่นใดหรือไม่ นายกฯ จึงต้องรีบตัดสินใจ” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวเรื่องการซื้อขายตำแหน่งเกิดขึ้นในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (บช.ภ.8) ว่าเพิ่งทราบเรื่อง ต้องรอคำสั่งผู้บังคับบัญชาให้ตรวจสอบอย่างเป็นทางการ แต่ยืนยันว่าประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้ความชัดเจนกับสังคม โดย ผบ.ตร.เน้นย้ำชัดเจนในวันมอบนโยบาย ว่าหากมีการร้องเรียน หรือพบพยานหลักฐานเกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่ง จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ไม่สนว่าผู้เกี่ยวข้องจะเป็น “พี่ เพื่อน น้อง” จะไม่มีการละเว้นใดๆ
“สิ่งเดียวที่จะทำให้ประชาชนมั่นใจ คือตำรวจมีกระบวนการตรวจสอบ โดยเฉพาะคณะกรรมการรับเรื่องราวร้องเรียนตำรวจ หรือ ก.ร.ตร.ที่เป็นหน่วยงานอิสระที่ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ตำรวจฯ ฉบับใหม่ ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของ ผบ.ตร.หากผลการพิจารณาของ ก.ร.ตร.มีผลสรุปออกมาอย่างไรสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นขอให้มั่นใจการตรวจสอบตามขั้นตอน ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้องและโปร่งใสที่สุด” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าว
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ ผบ.ตร.กับพวก ในความผิดตาม พ.ร.บ.ตำรวจฯ ซึ่งเทียบเท่ากับมาตรา 157 หลังจากมีผู้เสียหายนำหลักฐานเป็นแชทข้อความและคลิปเสียง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจ โดยนายอัจฉริยะ กล่าวว่า หลักฐานทั้งหมดที่นำมาเป็นเหตุการณ์ในปี 2567 ปัจจุบันนายตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้เข้ารับตำแหน่งที่ตั้งเป้าไว้ ซึ่งนอกจากข้อความการสนทนาแล้ว ยังมีคลิปเสียงการพูดคุยระหว่างตนกับภรรยานายตำรวจระดับ ผบก.ในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งเป็นผู้เสียหาย พร้อมนำพยานหลักฐานเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าถูกคุณหญิง แอบอ้างเบื้องสูง อ้างว่าสามารถช่วยให้ตำรวจได้รับตำแหน่งต่างๆ ได้ แต่ต้องแลกกับค่าตอบแทน เป็นเงินสดหรือทรัพย์สินราคาแพงรูปแบบต่างๆ เช่น เงินสด , นาฬิกา และกระเป๋าแบรนด์เนม
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า เนื้อหาที่ปรากฏเกี่ยวข้องกับนายตำรวจ 4 นาย ยศ พ.ต.ท.ตำแหน่ง รองผกก.ในจังหวัดภาคอีสาน ซึ่งต้องการจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ภาคอีสาน รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกนำมาใช้สำหรับแลกเปลี่ยนในการแต่งตั้งทั้งหมด 24 ล้านบาท จึงต้องการให้ดีเอสไอ พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องตาม พ.ร.บ.ตำรวจฯ
“การออกมาเปิดเผยข้อมูลและแจ้งความดำเนินคดีกับผู้นำองค์กรตำรวจในระยะนี้ เนื่องจากต้องการให้สังคมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น ประเด็นการทุจริต และไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเฉพาะฝั่งของ ผบ.ตร.เท่านั้น แต่ในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้ ผมยังเปิดข้อมูลการทุจริตในฝั่งของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.เช่นกัน ในประเด็นที่เจ้าตัวอาจจะเกี่ยวข้องกับการครอบครองทองคำ น้ำหนัก 300 บาท ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ต้องชี้แจงที่มาที่ไปต่อสังคมให้ได้” นายอัจฉริยะ กล่าว
นายอัจฉริยะ กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ ตำหนิพฤติกรรมของตนในที่ประชุม กมธ.ความมั่นคงฯ จากการสอบถาม ปปง.เรื่องเกี่ยวกับการดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินของนายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว ส.ส.สงขลา พรรคกล้าธรรม นั้น หาก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ไม่มีไฟเขียว จะมีการยึดอายัดทรัพย์นายชนนพัฒฐ์ หรือไม่ ตนเป็นสายลับ ปปง.มา 10 กว่าปี ย่อมมีสิทธิ์ที่จะสอบถาม ปปง.เมื่อประธาน กมธ.ความมั่นคงฯ อนุญาต ตนไม่ได้ใช้อำนาจอะไร แต่มีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ นายอัจฉริยะ ได้ย้อนกลับถึง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ว่าท่านเป็นเจ้าของสำนวนคดีนี้เอง เป็นผู้จับกุมเอง แต่กลับยึดเงินสดได้เพียง 2.1 ล้านบาท และรถยนต์ 3 คัน ไม่สามารถยึดของกลางจำพวกอาวุธปืน คอมพิวเตอร์ และเอกสารอื่นๆ ทำไมไม่ไปถาม ผกก.สภ.เมืองสงขลา ว่าเพราะเหตุใดถึงคืนรถของกลาง 2 คัน ให้นายชนนพัฒฐ์ ซึ่งได้นำรถทั้ง 2 ไปขายต่อแล้ว
“ผมเป็นเพียงแค่ประชาชนคนหนึ่ง ไม่ใช่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ แต่ยังทราบเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด แล้วทำไม พล.ต.ท.ไตรรงค์ ถึงไม่ทราบ เมื่อท่านไม่ถาม ปปง.ผมก็ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ถามแทน และมีข้อมูลทรัพย์สินของนายชนนพัฒฐ์ ที่มากถึงกว่าพันล้านบาท จึงถามย้อนกลับไปถึง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ว่าผมผิดอะไร” นายอัจฉริยะ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี