มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนฯ ซาบซึ้ง ‘พระพันปีหลวง’ ชุบชีวิตคนพิการทางสติปัญญาพึ่งพาตนเองได้

มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนฯ ซาบซึ้ง ‘พระพันปีหลวง’ ชุบชีวิตคนพิการทางสติปัญญาพึ่งพาตนเองได้

วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 14.50 น.

มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนฯ ซาบซึ้ง “สมเด็จพระพันปีหลวง” สายพระเนตรกว้างไกล ชุบชีวิตคนปัญญาอ่อนพึ่งพาตนเองได้

วันที่  20 พฤศจิกายน 2568 สำนักพระราชวังได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพเบื้องหน้าพระโกศ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทุกวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.2568 เวลา 08.00 – 21.00 น. โดยมีข้าราชบริพารหน่วยราชการในพระองค์ เจ้าหน้าที่สํานักพระราชวัง จิตอาสา 904 และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและความเรียบร้อย รวมถึงคอยให้คำแนะนำอำนวยความสะดวกผู้สูงอายุ ผู้พิการและประชาชนตลอดเส้นทางเพื่อให้การเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพฯเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ

สำหรับบรรยากาศวันนี้ นับเป็นวันที่ 12 ประชาชนทั้งในกรุงเทพฯและหลายจังหวัด พร้อมใจแต่งกายด้วยชุดสุภาพสีดำไว้ทุกข์เดินทางมาผ่านจุดคัดกรองที่ท้องสนาทหลวง และเข้าพักยังจุดพักคอยที่อุโมงค์หน้าพระลาน ผ่านประตูมณีนพรัตน์ มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง 

นอกจากนี้มีคณะบุคคลจากจังหวัดต่าง ๆ อาทิ จ. เชียงใหม่ จ.ตรัง จ.ตราด และ จ.ตาก ที่เดินทางมาจังหวัดละ 750 คน มีคณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิตฯ, โรงเรียนราชินี, โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม จ.บุรีรัมย์, มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์, สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำ กรุงเทพมหานคร, สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานับประการช่วยเหลือพสกนิกรให้มีอาชีพมีรายได้มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายขึ้น

ด้าน  ดร.สายสม วงศาสุลักษณ์ ประธานมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีต่อผู้พิการทางสติปัญญาทั่วประเทศ ว่า ด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกล ของสมเด็จพระพันปีหลวง ที่ทรงเล็งเห็นว่าผู้พิการทางสติปัญญานั้นถ้าได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ก็จะสามารถเป็นที่พึ่งพิงของครอบครัวได้มากกว่าการเป็นภาระ และด้วยพระบารมีอันยิ่งใหญ่นี้ มิได้ทรงดูแลเพียงแค่ผู้พิการทางสติปัญญาเท่านั้น หากแต่ยังทรงมีพระราชเสาวนีย์ ให้ดูแลทั้งครอบครัวของผู้พิการด้วย  นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นแก่ผู้พิการทางสติปัญญาทั่วประเทศไทย

“สมเด็จพระพันปีหลงง ทรงรับมูลนิธิฯไว้ใน พระบรมราชินูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 30  มีนาคม  2505  ด้วยทรงเล็งเห็นว่าถ้าเด็กๆที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี เขาก็จะสามารถพัฒนาได้ เพราะในยุคนั้นคนทั่วไปมองว่าเด็กผู้พิการทางสติปัญญาเป็นภาระของครอบครัว ดังนั้น มูลนิธิฯ จึงให้ความสำคัญกับการดูแลเด็กๆโดยเฉพาะการพัฒนาด้านสติปัญญาของเด็กแต่ละคน เด็กคนไหนมีความสามารถด้านใดก็จะมีครูคอยดูแลสอนงานที่ตรงกับความสามารถ อาทิ งานครัว งานเย็บปักถักร้อย งานชงกาแฟ เป็นต้น ซึ่งในทุกวันนี้เด็กๆได้รับการจ้างงานจากนายจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวเป็นจำนวนมาก มีอัตราการจ้างงานจากนายจ้างเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ผู้พิการทางสติปัญญา มีความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง อีกทั้ง มูลนิธิฯก็ไม่ได้ดูแลเพียงแค่คนพิการทางสติปัญญาในศูนย์จำนวน 600 คนเท่านั้น หากแต่ยังดูแลผู้พิการทางสติปัญญาที่พักอาศัยอยู่ตามบ้านทั่วประเทศอีก 5,000 คน ซึ่งในแต่ละเดือนนอกจากจะโอนเงินค่าจ้างงานของเด็กๆไปให้ทางบัญชีครอบครัวเท่านั้น แต่เรายังช่วยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนของเด็กอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระพันปีหลวง ที่ทรงมีต่อผู้พิการทางสติปัญญา ที่ได้พระราชทานพระราโชบายในการดูแลผู้พิการให้ได้รับการยอมรับจากครอบครัวและสังคมอย่างภาคภูมิใจ“ ดร.สายสม วงศาสุลักษณ์  กล่าวด้วยความซาบซึ้ง

ขณะที่ นางสาวสมหมาย พานิชผล ชาว อ.เมือง จ.ตาก กล่าวว่า ในหลวง ร.9 และสมเด็จพระพันปีหลวง เสด็จฯ จ.ตาก ประมาณ 7 ครั้ง จ.ตาก มีเขื่อนภูมิพล ทั้งสองพระองค์เสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎร ทรงช่วยเหลือประชาชนและชาวเขาและทรงส่งเสริมให้ชาวบ้านและชาวเขาปลูกพืช ปลูกกาแฟ แทนการปลูกฝิ่น และทรงมีโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์น้ำ ซึ่งในปี 2501 ในหลวง ร.9 และสมเด็จพระพันปีหลวง เสด็จฯ จ.ตาก รถพระที่นั่งเสียหน้าศาลเจ้าพ่อน้ำดิบ เนื่องจากเป็นถนนลูกรัง และหลังจากที่สองพระองค์เสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่แล้วทำให้ราษฎรมีอาชีพมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

ส่วนนางสาวขวัญชีวี เกิดสุทธิ์  ชาว อ.เมือง จ.ตราด ซึ่งเดินทางมากับคณะ อบต.หนองโสน กล่าวว่า ในช่วงที่เขมรแดงแตก ชาวกัมพูชาจำนวนมากอพยพหนีภัยสงครามเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เมื่อประมาณปี 2517 สมเด็จพระพันปีหลวง และ ในหลวงรัชกาลที่ 10 เสด็จไปช่วยเหลือผู้อพยพ และทรงให้จัดตั้งศูนย์ราชการุณย์ เขาล้าน ขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพที่อพยพหนีภัยสงครามมายังชายแดน จ.ตราด พระองค์ท่านช่วยเหลือด้านที่อยู่ที่กินให้ที่อยู่อาศัยและส่งเสริมด้านอาชีพให้กับผู้อพยพ ซึ่งขณะนี้ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เขมรแดงแตกอยู่ที่เขาล้าน 

“ความทรงจำที่มีต่อพระองค์ท่านคือ การเสด็จฯ เคียงคู่ไปกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่เลื่องลือมากก็คือพระองค์ส่งเสริมในเรื่องผ้าไหม และพระองค์ทรงเป็นพระราชินีที่สวยที่สุด แต่ตอนนี้เราเหมือนสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เคยสูญเสียพ่อหลวงไปแล้ว ครั้งนี้สูญเสียแม่หลวงไปอีก ก็เหมือนสูญเสียร่มโพธิ์ร่มไทรที่เรารัก เราเป็นคนไทยถูกปลูกฝังมาให้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่ง 3 สิ่งนี้พวกเราเทิดทูนและจะน้อมนำคำสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์ความเป็นไทย การอนุรักษ์ป่าไม้ การอนุรักษณ์น้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีผลกับอาชีพประมง อาชีพเกษตรกร และอาชีพทำนาของพวกเราต่อไป“

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top