ผลตรวจเดือน พย.พบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำสาย-รวก-โขงทุกจุดตรวจวัด ขณะที่แม่น้ำกกหนักอยู่ที่ ต.ท่าตอนส่วนจุดอื่นเบาบางลง นักวิชาการชี้รัฐยังเฉื่อยไร้แผนตรวจในคน-พืช-สัตว์ แนะเร่งสังเคราะห์ข้อมูลใช้ขับเคลื่อนเวทีระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา แม่น้ำสาย แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง ครั้งที่ 13 ซึ่งเก็บตัวอย่างน้ำระหว่างวันที่ 4- 7 พฤศจิกายน 2568 พบว่าแม่น้ำกก จุดตรวจวัดส่วนใหญ่มีค่าสารหนูเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด แต่บางจุดค่าสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ได้แก่ บริเวณชายแดนไทย - พม่า มีค่าสารหนู 0.011 มก./ล. และบริเวณสะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอนพบสารหนู 0.01 มก./ล.(เท่ากับค่าเกณฑ์มาตรฐาน 0.01 มล./ล.)
ส่วนแม่น้ำสายพบว่า จุดตรวจวัดทั้ง 3 จุด มีค่าสารหนูไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด โดยที่บ้านหัวฝาย ต.แม่สาย อ.แม่สาย มีค่าสารหนู 0.027 มก./ล. บริเวณสะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 มีค่าสารหนู 0.028 มก./ล. และบริเวณบ้านป่าซางงาม ม.6 ต.เกาะช้าง มีค่าสารหนู 0.031 มก./ล.
สำหรับแม่น้ำรวก พบว่า จุดตรวจวัดทั้ง 2 จุด มีค่าสารหนูไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด โดยที่สถานีสูบน้ำเกาะช้าง การประปาส่วนภูมิภาค มีค่าสารหนู 0.015 มก./ล. และที่ ต. เวียง อ.เชียงแสน มีค่าสารหนู 0.014 มก./ล.
ขณะที่แม่น้ำโขงพบว่า จุดตรวจวัดทั้ง 3 จุด มีค่าสารหนูไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด โดยบริเวณจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน มีค่าสารหนู 0.014 มก./ล. บริเวณ ต.เวียง อ.เชียงแสน มีค่าสารหนู 0.015 มก./ล. และบริเวณบ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน มีค่าสารหนู น้อยกว่า 0.010 มก./ล.
กรมควมคุมมลพิษยังได้วิเคราะห์ข้อมูลด้วยว่า ผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 จนถึงปัจจุบัน แม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ยังมีสีน้ำตาลแดง มีค่าความขุ่นสูง พบว่าค่าโลหะหนัก อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำ แหล่งน้ำผิวดิน ยกเว้นค่าสารหนู พบเกินค่ามาตรฐานในแม่น้ำกก บริเวณจุดชายแดนไทย – พม่า มีค่า 0.011 มก./ล. แม่น้ำสายทุกจุดตรวจวัด อยู่ในช่วง 0.027 - 0.031 มก./ล. แม่น้ำรวกทุกจุดตรวจวัด อยู่ในช่วง 0.014 - 0.015 มก./ล. และแม่น้ำโขง 2 จุดตรวจวัด อยู่ในช่วง 0.014 – 0.015 มก./ล.
“จากผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมในฤดูฝน ตั้งแต่พายุวิภาช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 และมีฝนตกต่อเนื่องระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2568 ปริมาณน้ำท่ามาก มีการแจ้งเตือนระดับน้ำล้นตลิ่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม อาจเจือจางให้ค่าโลหะหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนค่าที่เกินมาตรฐาน อาจเนื่องจากอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดจนทำให้การเจือจางด้วยปริมาณน้ำท่ายังไม่มากพอที่จะลดการปนเปื้อนให้อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้”รายงานของกรมควบคุมมลพิษ ระบุ
ผศ.เสถียร ฉันทะ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย กล่าวว่า ผลตรวจครั้งที่ 13 แม้ในแม่น้ำกกจะพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานเพียงจุดเดียวคือที่บริเวณชายแดน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าสารหนูที่อยู่ในตะกอนดินจะหายไปไหน เพราะอาจตกตะกอนเนื่องจากน้ำที่ไหลช้าลง ทำให้ตรวจพบสารหนูน้อยกว่าหน้าฝนซึ่งตะกอนดินฟุ้งกระจายทำให้ตรวจพบง่ายกว่า ดังนั้นการตรวจตะกอนดินจะให้ผลชัดเจนกว่า
ผศ.เสถียรกล่าวว่า ในส่วนของแม่น้ำสายและน้ำรวก อาจเป็นเพราะมีการทำเหมืองที่มีจำนวนมาก ทำให้พบสารโลหะหนักอย่างต่อเนื่อง ส่วนแม่น้ำโขงนั้น แหล่งที่มาของสารพิษไม่ได้มาจากแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกเท่านั้น แต่ยังมีการทำเหมืองแร่ในบริเวณอื่นทั้งจากฝั่งพม่าและลาว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการตรวจพบสารโลหะหนักเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอด 7-8 เดือนที่ผ่านมา ส่วนการตรวจสารเหล่านี้ในพืชผักและคนทันกับสถานการณ์หรือไม่ ผศ.เสถียรกล่าวว่า ตนเห็นว่ายังย่ำอยู่กับที่ ทั้งๆที่มีนักวิชาการ นักวิจัยและภาคประชาชน ต่างรู้สึกกังวลในผลกระทบที่จะเกิดในแต่ละมิติ แต่ภาครัฐยังขยับตัวช้ามากโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมที่แทบไม่เห็นผลการตรวจ แม้แต่การทำแผนหรือแนวทางเยียวยาก็ยังไม่มี ขณะที่ระยะผ่านมาร 7-8 เดือนสารหนูไปทั่วระบบนิเวศแล้ว จึงควรมีแผนต่อเนื่องในการตรวจวิเคราะห์
“แทนที่จะมีแผนการตรวจให้หลากหลายครอบคลุมและถี่ขึ้น แต่ภาครัฐกลับจะลดความถี่การตรวจลง เราไม่รู้ว่าตอนนี้สารพิษเข้าไปในพืช สัตว์และคนที่ไหนบ้างแล้ว อยากให้ตรวจครอบคุมมากขึ้น และรายงานผลที่ตรงไปตรงมา หรือเยียวยาผลกระทบว่ารัฐจะทำอย่างไร ต้องทำงานเชิงรุกได้แล้วเพราะข้อมูลมีมากพอสมควรแล้ว สิ่งสำคัญคือภาครัฐต้องวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเอาไปขับเคลื่อนในเวทีระหว่างประเทศด้วย”ผศ.เสถียร กล่าว
ผศ.เสถียรกล่าวว่า สารโลหะหนักไม่ได้ที่ปะปนมาในน้ำ ปลาและพืชผัก ไม่ได้ทำให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยโดยเฉียบพลัน ทำให้มีความตื่นตัวช้า แต่สะสมในร่างกายวันละเล็กน้อย โดยแต่ละคนสัมผัสไม่เหมือนกัน จึงไม่แปลกใจว่าเมื่อตรวจปัสสาวะในเกษตรกรพบ 7 คน มีสารหนู แต่มากน้อยแตกต่างกันไป
“ ร่างกายแต่ละคนมีความสามารถในการต้านทานโรคแตกต่างกัน ขณะนี้การตรวจในร่างกายคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็ยังไม่ทั่วถึง ทั้งๆที่ควรมีความต่อเนื่องและวางระยะเวลาให้ชัดเจน จำแนกการสัมผัสน้ำหรือการใช้ชีวิตประจำวันให้ชัด แต่ละกลุ่มมีความเสี่ยงแค่ไหน อย่างไร”นักวิชาการผู้นี้กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี