DSI เปิดผลตรวจสอบ 5 บริษัทของลูก‘ก๊ก อาน’ พบส่วนใหญ่เป็น Paper Company บังหน้าฟอกเงิน

DSI เปิดผลตรวจสอบ 5 บริษัทของลูก‘ก๊ก อาน’ พบส่วนใหญ่เป็น Paper Company บังหน้าฟอกเงิน

วันอังคาร ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 13.48 น.

DSI เผยผลตรวจสอบ 5 บริษัทของลูก‘ก๊ก อาน’ พบส่วนใหญ่เป็น Paper Company ไม่ได้ทำธุรกิจจริง ส่วนใน‘หาดใหญ่’เลิกกิจการแล้ว ขณะที่‘บริษัทจัดหางานออนไลน์’พบเช่าชั้นอาคารออฟฟิศย่านสาทรไว้รับของและจดหมาย แต่ไม่มีพนักงาน ส่อจดทะเบียนตั้งบริษัทบังหน้า‘ฟอกเงิน’ แย้มเตรียมขยายผลเป็นคดีพิเศษฐานความผิด‘นอมินี’ คาด‘ก๊ก อาน’อาจใช้ลูกเป็นนอมินี

จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยคณะพนักงานสืบสวน กองกิจการอำนวยความยุติธรรม เรื่องสืบสวนที่ 134/2568 ได้มีการกำหนดแนวทางการสืบสวนเครือข่ายของนายเฉิน จื้อ (CHEN ZHI) หรือ วินเซนต์ (Vincent) ผู้ก่อตั้งกลุ่มปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป เครือข่ายของบริษัท ปรินซ์ฯ และรายชื่อชาวต่างชาติทั้ง 43 คน ที่ทางการสหรัฐอเมริกาได้ขึ้นบัญชีให้เป็นบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงออนไลน์ อาทิ นายยิม เลียก (Yim Leak) นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ นายก๊ก อาน เป็นต้น


ทั้งนี้ มีการตรวจสอบว่าในบรรดา 43 รายชื่อดังกล่าวมีใครเกี่ยวพันเชื่อมโยงมาถึงบุคคลและนิติบุคคล การประกอบกิจการในประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งดีเอสไอได้มีการประสานขอรายงานข้อมูลไปยังหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการขอข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูการยื่นจดทะเบียนประกอบธุรกิจ การขอข้อมูลจากสำนักงาน ปปง. เพื่อดูธุรกรรมทางการเงิน การเปิดบัญชีธนาคาร เป็นต้น และถ้ามีความชัดเจนว่านิติบุคคลใดในไทย เป็นเครือข่ายของทุนนอก หรือเป็นนอมินี ก็จะขยายผลเป็นคดีพิเศษในความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือนอมินี ซึ่งเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า ภายหลังจากที่คณะพนักงานสืบสวนดีเอสไอ ได้มีการตรวจสอบข้อมูลการประกอบธุรกิจ กิจการในไทยของนายก๊ก อาน (KOK AN) สัญชาติกัมพูชา มีตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของประเทศกัมพูชา และลูกทั้ง 3 คนของก๊ก อาน ได้แก่ น.ส.จุรี คล่องกิจกล น.ส.ภูเฌอหลิน คล่องกิจกล (ยุไล่) และนายกิตติศักดิ์ คล่องกิจกล โดยเฉพาะการประสานข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบข้อมูลเบื้องต้นก่อนนี้ว่า ลูกทั้ง 3 คนของนายก๊ก อาน มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจประเภทการให้การบริการประมาณ 5 แห่งในไทย โดยมีสถานะเป็นกรรมการของบริษัทฯ จึงได้ขยายผลตรวจสอบรายละเอียดเชิงลึก กระทั่งทราบว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการดำเนินธุรกิจแล้ว คล้ายลักษณะเป็น “Paper Company”

กล่าวคือ สถานที่ที่จดทะเบียนไว้ไม่ได้มีการประกอบธุรกิจ ณ ที่นั้น ๆ เช่น อ้างว่าบริษัทอยู่ในอาคารแห่งหนึ่ง แต่พนักงานทำงานไม่มีจริง แต่กลับใช้ชื่อที่อยู่ตรงนั้นอ้างเป็นที่ตั้งของบริษัท อย่างไรก็ตาม ในบรรดา 5 บริษัทนี้ กลับพบว่าก่อนหน้านี้ยังพอมี 1 บริษัทในพื้นที่จังหวัดสงขลา อำเภอหาดใหญ่ ที่อาจมีการดำเนินธุรกิจจริง แต่ปัจจุบันก็ไม่มีแล้ว และยังมีอีกบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการหางาน การจัดหางานออนไลน์ ดีเอสไอพบข้อมูลว่าไปแจ้งจดที่อยู่ในพื้นที่เขตสาทร กรุงเทพมหานคร แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่ามีการขอใช้พื้นที่ของนิติบุคคลแห่งหนึ่ง แต่ก็ไม่มีการดำเนินธุรกิจจริงเช่นกัน ซึ่งการขอใช้พื้นที่นิติบุคคลอื่นเพื่อจดทะเบียนเป็นสถานที่ของบริษัทนั้น

ดีเอสไอพบข้อมูลอันน่าสนใจต่อว่า มันจะมีลักษณะเป็นบริษัทเคลื่อนที่ อาทิ ประเภทธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startup) ซึ่งบางทีก็ไม่มีเงินในการจ้างพนักงาน หรือไปเช่าสถานที่ แต่ในความเป็นจริงมันจำเป็นต้องมีสถานที่อยู่เพื่อแจ้งจดทะเบียน และใช้เป็นที่อยู่ในการรับส่งจดหมาย เพื่อให้ดูมีความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะหากเป็นอาคารที่มีชื่อเสียงในย่านเศรษฐกิจ ที่ไม่ใช่บ้านเช่าทั่วไปก็จะดูมีความน่าเชื่อถือมากกว่า จึงทำให้มีพวกบริษัทที่ทำธุรกิจเช่าพื้นที่จริงและซอยห้องเพื่อปล่อยเช่าเป็นตัวเลขที่ในระบบคอมพิวเตอร์ แต่ห้องจริง ๆ ไม่มี แต่ลูกค้าสามารถใช้ที่อยู่ของตึกนั้นได้ เพราะบริษัทมันมีการเช่าต่อจากตัวตึกจริง

ยกตัวอย่าง นายเอ (นามสมมุติ) จดทะเบียนตั้งบริษัทขึ้นมา 1 แห่ง และไปขอเช่าชั้น 15 ในอาคารออฟฟิศแห่งหนึ่ง ที่อยู่ในกลางย่านเศรษฐกิจ จากนั้นนายเอ ก็กำหนดตัวเลขซอยห้องออกมาเป็น 15/1-15/100 เป็นต้น เพื่อให้คนอื่นมาเช่าพื้นที่ต่อจากนายเอ แต่คนที่มาเช่าพื้นที่ต่อนั้นจะไม่ได้เข้ามาอยู่จริง เพราะมันไม่มีห้องให้อยู่ และไม่มีการจ้างพนักงานจริง แต่เมื่อมีจดหมายหรือสิ่งของของลูกค้ามาส่ง นายเอก็จะรับผิดชอบดูแลให้ เพราะลูกค้าจ่ายค่าเช่าเลขที่ห้องให้กับนายเอ ดังนั้น บริษัทของลูกก๊ก อานแห่งนี้ที่อยู่ในตึกออฟฟิศย่านสาทร และบริษัทอื่น ๆ รวม 5 บริษัท ไม่มีการประกอบธุรกิจจริง ไม่มีการจ้างพนักงานใด ๆ

รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุอีกว่า เมื่อเราตรวจสอบการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทภายในประเทศไทยของลูก ๆ ก๊ก อาน แล้วไม่พบว่ามีการประกอบธุรกิจจริง หรือมีการเลิกประกอบธุรกิจไปแล้ว หลังจากนี้เราจะต้องขยายผลไปตรวจสอบดูเรื่องเส้นทางการเงิน ว่าระหว่างที่บริษัทต่าง ๆ ได้จดประกอบธุรกิจนั้น มีการส่งงบการเงินของบริษัทอย่างไรบ้าง ซึ่งเรื่องงบการเงิน เราได้มีการประสานขอข้อมูลกับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงแล้ว ขณะนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างรอรับข้อมูลรายงานกลับมา เพราะแม้ว่าบริษัทจะไม่มีการประกอบธุรกิจแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการจดเลิกประกอบกิจการแต่อย่างใด นอกจากนี้ หากบริษัทเหล่านี้มีการจดแจ้งเรื่องบัญชีธนาคารนิติบุคคลในการรับโอนเงินหรือทำธุรกรรมต่าง ๆ ก็สามารถดูเรื่องเงินหมุนเวียนได้ด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เราเห็นถึงธุรกรรมต้องสงสัย ว่าบริษัททั้ง 5 แห่งนี้ที่จดทะเบียนขึ้นมา เป็นเพียงบริษัทที่เปิดขึ้นมาบังหน้าเพื่อการฟอกเงินหรือไม่ อย่างไร

รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุต่อว่า สำหรับข้อสงสัยว่าเหตุใดลูก ๆ ก๊ก อาน จึงมีการจดทะเบียนตั้งบริษัทต่าง ๆ แล้วไปเสียค่าเช่าสถานที่เพื่อให้เป็นสถานที่ที่ตั้งออฟฟิศของบริษัท คล้ายเป็นการวางเงินไว้โดยที่ไม่มีการประกอบธุรกิจจริงนั้น ดีเอสไอก็มีการตั้งข้อสงสัยเช่นเดียวกันว่า บางทีอาจจะมีการประกอบธุรกิจจริงมาก่อน แต่พอไม่ประสบความสำเร็จก็เลยเลิกประกอบกิจการไป ก็เป็นไปได้ หรืออาจเป็นกรณีภายหลังเกิดเรื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี หลายคนไปอยู่ต่างประเทศแล้วไม่มีใครอยู่ไทยคอยดำเนินการจัดการธุรกิจ จึงไม่มีใครบริหาร บริษัทจึงเลิกดำเนินการไปก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ประเด็นข้อสงสัยเรื่องนี้เราก็ได้มีการสอบถามกับเจ้าของอาคารที่ให้เช่า พวกเขาก็ยืนยันว่าไม่เคยเห็นว่ามีการประกอบกิจการจริง ไม่เคยเห็นพนักงานมาทำงาน

รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุด้วยว่า สำหรับกรณีว่านายก๊ก อาน ที่ไม่มีชื่อเป็นกรรมการในบริษัทใดเลยนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า ด้วยความที่ว่านายก๊ก อาน ยังไม่ได้มีการแปลงเป็นสัญชาติไทย แม้จะได้ใบถิ่นที่อยู่ถาวรก็ตาม (กระบวนการก่อนพัฒนามาเป็นสัญชาติไทย) แต่ลูก ๆ ของเขาได้สัญชาติไทยไปก่อนแล้ว เพราะมีการนำชายชาวไทยรายหนึ่งมาสมมุติเป็นพ่อ ตามที่ทุกท่านได้เห็นข่าวของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ทำให้พอลูก ๆ ทั้งสามคนของนายก๊ก อานได้สัญชาติไทยไปก่อน ดังนั้น เวลาที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใด จึงต้องใช้ชื่อลูก ๆ แทน เพราะมันจะทำกิจกรรมธุรกิจในไทยได้ง่ายกว่า เนื่องจากมีสัญชาติไทยแล้ว

ขณะที่นายก๊ก อาน ยังมีสัญชาติกัมพูชา จึงไม่สะดวกที่จะมาจดทะเบียนใช้ชื่อตัวเองโดยตรงในการจัดตั้งบริษัท แต่อย่างไรดีเอสไอ ก็ไม่ตัดประเด็นที่ว่านายก๊ก อาน อาจมีบริษัทของตนเองในไทยที่ใช้ชื่อคนอื่นมาจดตั้งทะเบียนแทนด้วย คล้ายลักษณะนอมินี เรื่องนี้จึงต้องขยายผลตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป เพื่อให้มีความชัดเจนในส่วนของข้อเท็จจริงมากที่สุด ว่าจะมีการกระทำใดที่เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือไม่

รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังปิดท้ายถึงกรณีที่ดีเอสไอเคยเข้าบันทึกถ้อยคำพยานผู้ถือหุ้นชาวไทยของบริษัท ปรินซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Prince International) ซึ่งมีสถานที่ตั้งอยู่ในชั้น 7 อาคารซิโน-ไทย ทาวเวอร์ เลขที่ 32/28 ถนนสุขุมวิท 21 (ซอยอโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีข้อมูลว่ามีการใช้ตราสัญลักษณ์ ชื่อบริษัท และอีเมลที่สอดคล้องกับบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (Prince Holding Group) ของนายเฉิน จื้อ แต่เบื้องต้นเราพบแล้วว่าจากพยานหลักฐานยังไม่พบการทำธุรกรรมร่วมกัน นอกจากการพยายามประกอบธุรกิจร่วมกันแต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top