'นพดล'เสนอ 3 ยุทธศาสตร์ชนะกัมพูชา

'นพดล'เสนอ 3 ยุทธศาสตร์ชนะกัมพูชา

วันอังคาร ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 22.24 น.

'นพดล'เสนอ 3 ยุทธศาสตร์ชนะกัมพูชา

โดย ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา  อดีตหัวหน้าโครงการวิจัยปกป้องรักษาผลประโยชน์ชาติตามแนวชายแดน 2554 อดีตผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก กรมกิจการพลเรือนทหารบก กองทัพบก 2557 ศิษย์เก่าบริหารจัดการนโยบายเน้นยุทธศาสตร์ หลักสูตรเรียนร่วมคณะเสนาธิการทหารร่วม (Joint Chief of Staff, JCS) กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ศิษย์เก่าวิทยาการข้อมูลและระเบียบวิธี (Data Science & Methodology) มหาวิทยาลัย มิชิแกน สหรัฐอเมริกา ศิษย์เก่าสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง


จุดที่กัมพูชาชิงความได้เปรียบ — ดังนั้น ยุทธศาสตร์ชนะกัมพูชาที่ไทยต้องรีบยึด “Narrative Dominance” กลับคืน

ตั้งแต่วันที่ 6–7 ธันวาคมเป็นต้นมา สื่อระดับโลกจำนวนมาก—ตั้งแต่ Reuters, AP, The Guardian, Al Jazeera ไปจนถึง CNN, CNA และ ABC Australia—รายงานเหตุการณ์ปะทะชายแดนในกรอบที่ “กัมพูชาเป็นฝ่ายได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการทางอากาศของไทย” หลังสื่อระหว่างประเทศหลายสำนักเผยแพร่ภาพการอพยพของพลเรือนกัมพูชาเป็นจำนวนมาก รวมทั้งรายงานความเสียหายต่อหมู่บ้านและโครงสร้างพื้นฐานฝั่งกัมพูชา ซึ่งทำให้เสียงของกัมพูชาถูกขยายในเวทีโลกด้วยน้ำหนักที่มากขึ้น

กัมพูชาใช้จังหวะนี้ขยับเกมสื่อสารอย่างเป็นระบบ โดยเร่งสร้างกรอบเรื่องราวว่าตนเองคือ
“ฝ่ายถูกโจมตี–เป็นเหยื่อ–ยึดมนุษยธรรม–และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด”
กรอบนี้สอดรับกับสิ่งที่สื่อโลกต้องการเล่า—คือความเดือดร้อนของผู้บริสุทธิ์ในภาวะสงคราม—จึงยิ่งถูกขยายด้วยภาพ วิดีโอ และคำให้สัมภาษณ์ที่เน้นความเสียหายของพลเรือนมากกว่ามิติความมั่นคงชายแดน พร้อมกันนั้น รายงานข่าวจากหลายสำนักยังคงเน้นว่า “ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเริ่มยิงก่อน” ซึ่งเป็นช่องว่างสำคัญที่เปิดโอกาสให้กัมพูชาสถาปนาเรื่องราวของตนเองเป็น “ความจริงเบื้องต้น” ที่โลกจะรับรู้ก่อน ละเมื่อ narrative ของโลกตั้งต้นด้วยการมองกัมพูชาเป็นผู้ที่ถูกโจมตี ไทยย่อมอยู่ในสภาวะเสียเปรียบด้านกรอบความหมายทันที

ในช่วงวันที่ 7 ธันวาคมเป็นต้นมา รายงานสากลยังตอกย้ำ “ภาพใหญ่ (macro-image)” ของความขัดแย้งในแบบที่เข้าทางกัมพูชา ได้แก่ (1) การสูญเสียของพลเรือน ที่ถูกนำเสนอเป็น headline ในหลายสำนักข่าว (2) การอพยพและพลัดถิ่นจำนวนมาก ที่ปรากฏในรายงาน AP และ Guardian ว่า “นับหมื่น–หลักแสน” (3) ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานชายแดน ที่สื่อเน้นว่าเกิดในหมู่บ้านกัมพูชา (4) ความเสี่ยงด้านมนุษยธรรม ซึ่ง NGOs และผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศเริ่มหยิบไปตั้งคำถาม ภายใต้กรอบนี้ โลกเริ่มรับรู้ว่า “กัมพูชาเดือดร้อนจากปฏิบัติการของไทย” แม้ไทยอาจมีเหตุผลด้านความมั่นคงชายแดนและข้อมูลข่าวกรองที่หนักแน่นกว่า แต่เมื่อไทยยังสื่อสารไม่เร็วและไม่ทัน จึงปล่อยให้ narrative ของกัมพูชาเป็น “เรื่องราวค่าเริ่มต้น (default narrative)” ในสายตาประชาคมโลก

ผลลัพธ์คือ ไทยถูกผลักเข้าสู่ สภาวะตั้งรับเชิงภาพลักษณ์ (defensive posture) แม้จะมีข้อเท็จจริงด้านกฎหมายระหว่างประเทศ—เช่นกรอบปฏิบัติตาม Article 51 ของ UN Charter—หรือข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงชายแดนของฝ่ายกัมพูชาก็ตาม แต่เมื่อไทยไม่สามารถส่งมอบ narrative ของตนเองได้ทันและสื่อสากลไม่ได้เห็นหลักฐานเชิงประจักษ์จากฝั่งไทย โลกจึงไม่พร้อมเชื่อ “ความชอบธรรมของไทย” โดยอัตโนมัติ

ดังนั้น การดึง Narrative Dominance กลับมาจึงไม่ใช่แค่การอธิบายข้อเท็จจริงย้อนหลัง
แต่คือ การหยุดไม่ให้ภาพไทยถูกตรึงในกรอบ ‘ผู้รุกราน’ อย่างถาวร
ซึ่งจะส่งผลต่อ

  1. ความชอบธรรมระหว่างประเทศ (international legitimacy)
  2. ความไว้วางใจของพันธมิตร—รวมถึงผู้มีบทบาทในภูมิภาค
  3. ท่าทีขององค์กรระหว่างประเทศ (UN, ICJ-related discourse)
  4. ช่องทางการทูตและการเจรจาแบบพหุภาคี
  5. ภาพลักษณ์ของไทยในประเด็นมนุษยธรรมและสิทธิพลเรือน
  6. นโยบายความมั่นคงและการจัดกำลังระยะยาวของไทย

ในสถานการณ์ที่สื่อโลกสร้างเรื่องราวเร็วกว่า และกัมพูชากำหนดเรื่องราว (framing) ก่อน ดังนั้น การยึดครองการกำหนดกรอบเรื่องราว (Narrative Dominance) จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนระดับยุทธศาสตร์ ที่หากไทยช้า แม้แต่ข้อเท็จจริงของไทยจะถูกต้องก็ไม่อาจ “ชนะใจโลก” ได้อีกต่อไป

ทางออกที่เป็นไปได้คือการออกแบบและปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ 3 ยุทธศาสตร์ชนะกัมพูชา ต่อไปนี้

ยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างกรอบเรื่องราว (Narrative) หลักของไทยที่โลกเชื่อได้ทันที ข้อความสำคัญต้องทำให้ชัดเจนมาก ได้แก่ (1) ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มยิง (2) การตอบโต้ของไทยเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ (ICJ, UN Charter Article 51 – Self-Defense) (3) ไทยปกป้องประชาชนและอธิปไตยเท่านั้น (4) ไทยพร้อมเจรจาในเวทีที่เป็นกลางและเปิดช่องทางทูตทุกเมื่อ นี่คือการกำหนดกรอบเรื่องราว Narrative ที่ทำให้ไทยดู “สงบ เย็น สากล เชื่อถือได้” โลกเชื่อเพราะไทยไม่เคยมีประวัติรุกรานประเทศเพื่อนบ้านและมีข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากการสู้รบครั้งนี้ว่า ไทยใช้สิทธิปกป้องอธิปไตย ไม่ใช่ผู้รุกราน

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ใช้ภาษาอังกฤษ–ฝรั่งเศส–จีน–รัสเซีย สื่อสารทันทีในทุกช่องทาง เวลานี้กัมพูชาได้เปรียบ เพราะเขา ทำ Statement ภาษาอังกฤษและสื่อสารเร็วกว่าไทย เตรียมการล่วงหน้า ประเทศไทยต้องตั้ง War Room ด้านการสื่อสารสากล ออกแถลงการณ์ 4 ภาษา English (สื่อหลักโลก) French (ภาษาหลักใน UN และศาลโลก) จีนและรัสเซีย ทุกครั้งที่เกิดเหตุชายแดน ต้องออกแถลงทันทีภายใน 30 นาที เพราะในสงครามข้อมูล “คนที่เผยแพร่ข้อมูลสร้างเรื่องราวที่มีข้อเท็จจริงได้ก่อน เป็นผู้กำหนดกรอบความคิดของโลก”

ยุทธศาสตร์ที่ 3 เปิดพื้นที่ให้สื่อสากลเข้าพื้นที่ฝั่งไทย ไทยต้องสื่อสารแบบ “มนุษยธรรม”

นี่คือเกมที่ได้ผลสูงสุด เพราะสื่อสากลจะเล่า “ความจริงที่เห็นเอง” มากกว่าที่กัมพูชาส่งออกไป พาสื่อไปดูฝ่ายไทยรับผลกระทบ พาสื่อไปดูการอพยพประชาชนไทย ให้สื่อเห็นว่าไทย “ป้องกันตัว” ไม่ใช่รุกก่อน ข่าวจาก CNN, BBC, Reuters, AFP จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ทั้งเกมในเวลา 24 ชั่วโมง

ไทยต้องสื่อสารแบบ “มนุษยธรรม” ไม่ใช่ “ทหาร” แต่ถ้าโลกนี้มีกันแค่ 2 ประเทศไทยสามารถเปิดศึกรบเต็มที่สุดศักยภาพได้เลย แต่เมื่อโลกมีกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ โลกเห็นใจฝ่ายที่มีประชาชนเจ็บปวดมากกว่า ดังนั้นไทยต้องเล่าเรื่องที่ “โลกฟังแล้วเข้าใจทันที” เช่น การอพยพเด็ก ผู้สูงอายุ การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ไทยไม่ต้องการสงคราม ไทยปกป้องผู้บริสุทธิ์ นี่เป็นกรอบเรื่องราว (narrative) ที่ทำให้ไทยชนะบนเวทีโลกได้เร็วที่สุด ให้สื่อสารโดยใช้โฆษกของไทยที่พูดภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ที่จำเป็นในการสื่อสารอย่างรวดเร็วได้อย่างมืออาชีพ ไทยควรมอบหมายโฆษกรัฐบาล–กห.–กต. ที่พูดได้ชัดเจน คล่องแคล่ว มีบุคลิกน่าเชื่อถือ ออกแถลงการณ์ทุกครั้งที่มีเหตุ และใช้เพื่อนบ้าน–มิตรประเทศ–อาเซียน เป็นเกราะหนุนไทย ถ้าอินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนามพูดว่า “ขอให้ทั้งสองฝ่ายยึดหลักสันติภาพ” โลกจะมองไทยว่าเป็นฝ่ายร่วมมือสันติภาพ และลดน้ำหนัก ข้อได้เปรียบของกัมพูชาได้มาก

ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา
ติดต่อเพิ่มเติมได้ที่ www.superpoll.co.th โทร 095.471.4444 หรือ 02.082.2646 หรือ 02.064.5928

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top