เตรียมส่งเสริมปลูกอ้อย-ยูคา-แทนนาข้าวแก้ปัญหาสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำกก-สาย

เตรียมส่งเสริมปลูกอ้อย-ยูคา-แทนนาข้าวแก้ปัญหาสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำกก-สาย

วันพฤหัสบดี ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.42 น.

เตรียมส่งเสริมปลูกอ้อย-ยูคา-แทนนาข้าวแก้ปัญหาสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำกก-สาย เกษตรจังหวัดลดลดการสัมผัสน้ำแม้ผลตรวจพืชผักพบยังไม่เกินค่ามาตรฐาน-นักวิชาการค้านแก้ปัญหาผิดจุดแทนที่จะหาวิธีทำการเกษตรปลอดภัย

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย เปิดเผยถึงการตรวจพืชโดยเฉพาะข้าวในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกซึ่งมีปัญหาเรื่องสารโลหะหนักปนเปื้อนว่า ทางเกษตรจังหวัดได้ทำการเก็บตัวอย่างข้าวส่งตรวจตามแผนรายเดือน และส่งให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เชียงราย ดำเนินการซึ่งผลการตรวจล่าสุดพบสารโลหะหนักไม่เกินค่ามาตรฐาน และยังไม่มีอะไรน่ากังวล อย่างไรก็ตามทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะกลัวว่าหากวันหนึ่งวันใดมีสารโลหะหนักเกินมาตรฐานก็จะเป็นปัญหาจึงได้ตั้งคณะแก้ไขปัญหาเรื่องของดิน น้ำและเกษตร โดยได้มีการประชุมครั้งแรกในวันเดียวกันนี้


“เรากำลังดูว่าถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ เราจะปรับเปลี่ยนการปลูกพืชเป็นพืชพลังงานมั้ย ไม่ใช่ปลูกพืชอาหารในพื้นที่ที่เสี่ยง เช่นปลูกอ้อยเพื่อทำเอทานอล หรือปลูกไม้โตเร็วเพื่อเอาไปทำกระดาษ หรืออาจเป็นพวกไม้ดอกไม้ประดับที่ไม่ได้นำมาบริโภค แต่เราต้องดูเรื่องตลาดและความคุ้มทุน เช่น อ้อยปลูกได้ แต่ประเด็นคือโรงงานน้ำตาลที่รับซื้ออ้อยที่ไม่ได้นำไปเป็นอาหารมีอยู่ 2 แห่งคือที่แม่สอด จ.ตาก และ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ซึ่งระยะทางขนส่งไกล คงต้องประสานกับโรงงานใหญ่ๆกล้ามาลงทุนหรือไม่”นายเสน่ห์ กล่าว

เกษตรจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การปลูกอ้อยไม่ได้ใช้น้ำเยอะดังนั้นโอกาสที่เกษตรกรจะได้สัมผัสกับน้ำก็น้อยลง และอ้อยที่ได้มาเมื่อผ่านกระบวนการต่างๆและสกัดเป็นเอทานอลซึ่งจะปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้คงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับเกษตรกร

ผู้สื่อข่าวถามว่าพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกมีการปลูกข้าวนับแสนไร่มาช้านาน หากเปลี่ยนเป็นการปลูกอ้อยแทนจะต้องทำอย่างไร นายเสน่ห์กล่าวว่า ไม่ยาก แถมเป็นผลดีเพราะเวลาปลูกอ้อยในนาแทนข้าวเพียงแค่ปรุงดินเพิ่มนิดหน่อยให้เหมาะสมสำหรับพืชไร่ แต่อ้อยเวลาปลูกในนาจะได้ผลผลิตสูงกว่าในพื้นที่ไร่เพราะการได้น้ำเยอะ โดยมีงานวิจัยพบว่าการปลูกอ้อยในระบบชลประทานจะได้ผลผลิตดีกว่าการปลูกอ้อยโดยอาศัยน้ำจากฟ้าฝน ดังนั้นจึงเชื่อว่าการปลูกอ้อยแทนข้าวในนาที่เชียงรายสามารถทำได้เลย เพียงแต่ต้องหาตลาดรองรับ ขณะเดียวกันสามารถแก้ไขปัญหาข้าวที่ล้นตลาดได้ ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ และวันนี้อ้อยไม่เพียงพอสำหรับตลาดในประเทศไทย

“ส่วนพืชผักตัวอื่นๆที่จะนำมาปลูกทดแทนนั้น ถ้าเป็นพืชอาหารแล้วไม่ได้เลยเพราะเราไม่รู้ว่าสถานการณ์การปนเปื้อนในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ที่เรามองไว้อีกตัวคือการปลูกไม้ยูคาลิปตัสเพื่อทำกระดาษ แต่เนื่องจากโรงงานอยู่ทีปราจีนบุรีซึ่งไกลเกินที่จะขนส่ง พืชอีกตัวหนึ่งคือไม้ดอกไม้ประดับ และหญ้าสนามที่เราคิดว่าเหมาะสมกับพื้นที่ แต่ต้องหาตลาดให้ชัดเจน คงต้องมีการวางแผนกำหนดเป็นโซน”นายเสน่ห์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การปลูกข้าวเพื่อบริโภคเองในพื้นที่ลุ่มน้ำกกยังมีอยู่ต่อไปหรือไม่ นายเสน่ห์กล่าวว่า ถ้าเกษตรกรปลูกข้าวแล้วรู้สึกกังวลก็ต้องซื้อข้าวจากแหล่งอื่นที่ปลอดภัยมาบริโภค ซึ่งเรื่องนี้คงต้องกำหนดเป็นแผนใหญ่เพื่อให้หลายหน่วยงานได้ช่วยกัน

ขณะที่ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย กล่าวว่า จริงๆแล้วหน่วยงานด้านการเกษตรควรเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจสอบพืชต่อไปโดยวางแผนอย่างเป็นระบบ เพราะการเปลี่ยนมาเป็นการส่งเสริมปลูกพืชพลังงานทดแทนก็ควรดูบริบทในพื้นที่ด้วย หากเปลี่ยนจากการปลูกข้าวแล้วปลูกอ้อยแทนจะได้หรือไม่

“เท่าที่ผมเคยดูผลตรวจของพืชการเกษตรในลุ่มน้ำกก เขาบอกว่าไม่เกินค่ามาตรฐาน เช่น ข้าว แต่ก็ปนเปื้อน เราควรส่งเสริมเกษตรให้ปลอดภัย โดยต้องดูว่าใช้น้ำอย่างไรที่ปนเปื้อนน้อยสุด มีเทคโนโลยีอย่างไร ควรหาเทคนิคและวิธีการเพื่อให้ปลอดภัยที่สุดซึ่งโจทย์ที่ต้องทำ ถ้าจะปรับเปลี่ยนเป็นการปลูกพืชพลังงาน หรือเศรษฐกิจตัวอื่น มันไม่ใช่วิถีของเกษตรของชุมชน มันเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ควรทบทวนให้ดี”ผศ.เสถียร กล่าว

อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ฯกล่าวว่า ที่ผ่านมาการตรวจพืชผลด้านเกษตรในลุ่มแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการรับรู้ของชาวบ้านได้ เพราะจนถึงบัดนี้ ชาวบ้านไม่รู้ว่าพืชที่ปลูกชนิดไหนปนเปื้อนหรือไม่ บริโภคได้หรือไม่ และควรซื้อขายหรือไม่ ทุกวันนี้ทางการยังไม่มีคำตอบให้ชาวบ้าน

“เท่าที่ผมเป็นกรรมการระดับจังหวัดอยู่หลายชุด ตอนนี้ยังไม่เห็นผลการตรวจที่ทำให้มีความน่าเชื่อถือว่า เราตรวจพบทุกกระบวนการของห่วงโซ่อาหารหรือยัง เราตรวจน้ำและตะกอนดินซึ่งพบว่ามีกาปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน แต่เราไม่รู้ว่าสารโลหะหนักมีความเข้มข้นแค่ไหนเมื่อเป็นตะกอนดินในพื้นที่ทำการเกษตร หากเข้มข้นมากก็จะเข้าไปสู่พืชผลการเกษตร เรายังขาดตรงนี้ ดังนั้นต้องมีการวางแผนต่อเนื่อง”ผศ.เสถียร กล่าว

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top