ระดมเขียนจดหมาย 3,000 ฉบับส่งถึงผู้นำ วอนรับฟัง-แก้ปัญหาสายน้ำปนเปื้อน

ระดมเขียนจดหมาย 3,000 ฉบับส่งถึงผู้นำ วอนรับฟัง-แก้ปัญหาสายน้ำปนเปื้อน

วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 18.32 น.

เด็ก-เยาวชนริมแม่น้ำโขงระดมเขียนจดหมาย 3,000 ฉบับส่งถึงผู้นำประเทศวอนรับฟัง-แก้ปัญหาสายน้ำปนเปื้อน-โฮงเฮียนแม่น้ำของจัดกิจกรรม “นักสืบสารหนู” ผนึกกำลังคน 3 รุ่นเชื่อมร้อยอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตปกป้องแม่น้ำ

วันที่ 15 ธันวาคม 2568 ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย  นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ พระมหานิคม มหาภินิกขมโม รองเจ้าอาวาสวัดท่าตอน ร่วมด้วยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย (มร.ชร.) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ผู้นำชุมชน ตัวแทนบ้านสบกก และ กลุ่มเยาวชนและนักเรียน กว่า 50 คนได้จัดกิจกรรม “นักสืบสารหนู” และปฏิบัติการ “เขียนจดหมายถึง ฯพณฯ ท่านผู้นำ” และการอบรมให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม


กิจกรรมเริ่มต้นโดย ทางทีมงานและเยาวชนได้นำเสนอผลการติดตามตรวจวัดคุณภาพน้ำที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา (พฤษภาคม – ธันวาคม 2568) ข้อมูลพบว่า แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านชุมชน ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตจากการปนเปื้อนของสารเคมี โดยเฉพาะ สารหนู และโลหะหนักปนเปื้อนอื่น ๆ  ซึ่งมีต้นตอมาจากกิจกรรมเหมืองแร่และการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้านที่ตั้งอยู่บริเวณต้นน้ำ

ดร.เสถียร ฉันทะ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า เรากำลังพูดถึงแม่น้ำ 4 สายหลัก ที่เป็นชีวิตของคนเชียงรายและคนลุ่มน้ำโขง ปัจจุบันพบการปนเปื้อนของสารหนูในระดับที่น่ากังวล ความน่ากลัวของสารหนูคือมันไม่ได้ส่งผลทันทีที่สัมผัส แต่คือเพชฌฆาตเงียบ การสัมผัสน้ำที่มีการปนเปื้อนอาจเริ่มต้นด้วยอาการผื่นคันทางผิวหนัง แต่เมื่อสะสมในร่างกายระยะยาวจะเข้าไปทำลายลึกถึงระดับเซลล์

“สารหนูเป็นสารก่อมะเร็งที่ได้รับการยืนยันแล้ว หากประชาชนได้รับสารนี้เข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5–10 ปี ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่น่าห่วงที่สุดคือ ห่วงโซ่อาหาร เมื่อเราใช้น้ำปนเปื้อนทำนาข้าว ข้าวเป็นพืชที่มีคุณสมบัติดูดซับสารหนูได้ดีเยี่ยม สารพิษจะเข้าไปสะสมในเมล็ดข้าว แล้วเราก็กินข้าวนั้นเข้าไป เท่ากับว่าสารพิษเดินทางจากเหมือง ลงแม่น้ำ เข้าสู่ต้นข้าว และจบลงที่จานข้าวของเราทุกคน นี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่มันคือวิกฤตความมั่นคงทางอาหารและสาธารณสุขที่กำลังคืบคลานเข้ามาโดยที่เราไม่รู้ตัว” ”ผศ.ดร.เสถียร กล่าว

พระอาจารย์มหานิคม กล่าวว่า อาบน้ำกกมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ สายน้ำนี้คือชีวิต คือสายเลือด แต่ทุกวันนี้ เมื่อพระอาจารย์ยืนมองแม่น้ำกก ความรู้สึกมันเปลี่ยนไป มันเหมือนเรากำลังยืนมอง แม่บังเกิดเกล้า นอนป่วยหนักอยู่ในตู้กระจกห้องไอซียู เรารู้ว่าแม่เรามีสารพิษในเลือด แม่เรากำลังจะตาย เรารู้วิธีรักษา แต่เราเข้าไม่ถึง เพราะต้นเหตุของโรคมาจากเพื่อนบ้าน มาจากปัจจัยที่ใหญ่เกินกำลัง

“ธรรมชาติคือชีวิต การที่พวกเรามารวมตัวกันวันนี้ ดีใจที่มีเด็กๆ มารับไม้ต่อ หากไม่มีคนสานต่อ อีก 30 ปีข้างหน้า เราอาจจะไม่เหลือแม่น้ำให้มอง เราอาจจะต้องนั่งร้องไห้ให้กับสายน้ำที่ตายจาก ร้องไห้กับร่างกายของตัวเองที่เต็มไปด้วยโรคภัย ปัญหาอาจจะดูใหญ่ เกิดจากพม่า เกิดจากจีน แต่ถ้าเรามีความสามัคคีในการเรียนรู้ ใช้ปัญญาแก้ไขด้วยสันติวิธี สิ่งที่หนักก็จะเบา สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็จะมีหนทาง”ผช.เจ้าอาวาสวัดท่าตอน กล่าว

ทั้งนี้เยาวชนและชาวบ้านได้ร่วมกันเขียนจดหมายถึง ฯพณฯ ท่านผู้นำ โดยตัวแทนนักเรียนและเยาวชนได้ร่วมกันระดมความคิดและร่างจดหมายเปิดผนึกโดยเนื้อหาบางส่วนระบุว่ากลุ่มเยาวชนลูกหลานแม่น้ำโขง เป็นประชาชนตัวเล็กๆ ในจังหวัดเชียงราย ที่มีลมหายใจผูกพันกับสายน้ำ ปู่ย่าตายายเคยเล่าให้ฟังว่า ในอดีตแม่น้ำสายนี้ใสสะอาด เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิต พวกเราเคยกระโดดเล่นน้ำ ดื่มกิน และจับปลามาทำอาหารได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข แต่ในวันนี้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่มีการทำเหมืองแร่ที่ต้นน้ำ น้ำที่เคยใสเริ่มขุ่นมัว สีของน้ำเปลี่ยนไปจนน่ากลัว ผู้ใหญ่บอกว่ามีสารพิษปนเปื้อน ปลาที่เคยว่ายวนเริ่มหายไป จนพวกเราไม่กล้าแม้แต่จะสัมผัสน้ำนี้อีกแล้ว

“พวกเรามีความกลัว... กลัวว่าในอนาคต แม่น้ำสายนี้จะกลายเป็น ‘แม่น้ำที่ตาย’ อย่างถาวร หากวันนั้นมาถึง พวกเราจะอยู่อย่างไรหากไม่มีน้ำสะอาด”จดหมายของเยาวชนระบุ

เนื้อหาในจดหมายยังระบุด้วยว่า พวกเราขอสื่อสารข้อเท็จจริงจากใจนี้ไปถึงท่าน เพราะสถานการณ์ปัจจุบันเกินกำลังที่พวกเราจะแก้ไขได้เอง ขอได้โปรดรับฟัง และร่วมมือกันหาทางปกป้องสายน้ำที่เป็นลมหายใจและชีวิตของทุกคน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋”กล่าวว่า เป็นการประกาศว่า คนลุ่มน้ำโขงจะไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม พวกเขาเลือกที่จะใช้ “ความรู้” นำทาง ใช้ “ความจริง” เป็นเกราะป้องกัน และใช้ “เสียงบริสุทธิ์ของเยาวชน” เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองกับโลก จากหยดน้ำเล็กๆ ในหลอดทดลองของนักสืบสารหนู สู่จดหมาย 3,000 ฉบับที่กำลังจะเดินทางข้ามพรมแดน นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังก้องที่สุดว่า “การฆาตกรรมแม่น้ำ ต้องยุติลง” เพื่อให้อดีตที่สวยงาม และเพื่อให้อนาคตของคนรุ่นต่อไป ยังคงมีสายน้ำที่สะอาดหล่อเลี้ยงชีวิตต่อไป

ครูตี๋ กล่าวว่า การต่อสู้กับปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ไม่สามารถใช้เพียงอารมณ์หรือการประท้วงแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป การจัดกิจกรรม ‘นักสืบสารหนู’ ในวันนี้ เป้าหมายลึกๆ คือการสร้าง ‘วิทยาศาสตร์พลเมือง’ (Citizen Science) เราต้องการให้เด็กๆ เยาวชน และชาวบ้าน ลุกขึ้นมาเป็นนักวิจัยด้วยตัวเอง ฝึกทักษะการสังเกต ตั้งสมมุติฐาน ตรวจสอบคุณภาพน้ำ รวบรวมข้อมูล และสังเคราะห์ออกมาเป็นความรู้ เมื่อชาวบ้านมีข้อมูลในมือ ข้อมูลนั้นคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด

ครูตี๋ กล่าวว่า นี่คือส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การผนึกกำลังของ “คน 3 รุ่น” เพื่อเชื่อมร้อยอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เข้าด้วยกันโดยคนรุ่นเก่า (อดีต) คือผู้ถือกุญแจแห่งความทรงจำ พวกเขาคือพยานปากเอกที่บอกเล่าได้ว่าแม่น้ำที่ “สมบูรณ์” หน้าตาเป็นอย่างไร ปลาที่เคยชุกชุม น้ำที่เคยดื่มกินได้ เพื่อให้คนรุ่นหลังเห็นภาพเปรียบเทียบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือความผิดปกติ ขณะที่คนรุ่นกลาง (ปัจจุบัน) คือกลุ่มคนทำงาน ผู้นำชุมชน และนักพัฒนา ที่กำลังแบกรับภาระในการต่อสู้ เจรจา และจัดการปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อประคองสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายลง คนรุ่นใหม่ (อนาคต)  คือเยาวชน นักเรียน ที่มาร่วมเป็นนักสืบในวันนี้ พวกเขาคือผู้ที่จะต้องรับผลกระทบโดยตรง และเป็นผู้ที่จะต้องสานต่อภารกิจปกป้องสายน้ำ

“เราไม่ได้สอนให้เด็กๆ ออกมา ‘คอมเพลน’ (Complain) หรือก่นด่าด้วยความโกรธแค้น แต่เราสอนให้พวกเขาสู้ด้วยปัญญา สู้ด้วยเหตุและผล สู้ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พวกเขาพิสูจน์มากับมือ นี่คือการยกระดับการต่อสู้จากท้องถิ่นสู่อนุภูมิภาคและเวทีโลก การดึงอดีตคือคนเฒ่าและอนาคตคือเยาวชน มาร่วมกันแก้ไขปัจจุบัน” นายนิวัฒน์ กล่าว

นายนิวัฒน์กล่าวว่า เป้าหมายกิจกรรมนี้คือการเริ่มต้นรวบรวมจดหมายให้ได้ 3,000 ฉบับ เพื่อส่งตรงถึงผู้นำประเทศในลุ่มน้ำโขงและผู้นำระดับโลก นี่ไม่ใช่จดหมายร้องทุกข์ธรรมดา แต่เป็น “บันทึกประวัติศาสตร์” จากผู้ประสบภัย ในทุกทางให้ผู้นำในทุกระดับได้เข้าใจภัยที่กำลังคุมคามภูมิภาคลุ่มน้ำในขณะนี้

ในวันเดียวกันที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในการประชุมร่วมระหว่างจังหวัดเชียงรายและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นดีพี โดยในระหว่างการประชุมนายชูชีพแจ้งว่า ในวันที่ 16 ธันวาคม นายชูชีพจะเดินทางไปจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า เพื่อหารือกับผู้บริหารจังหวัดท่าขี้เหล็กเกี่ยวกับสถานการณ์แม่น้ำปนเปื้อน

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top