วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
‘โรงงานปลาป่น’ประสานเสียงภาครัฐ ‘ปลาหมอคางดำ’ลดฮวบ ชุมชนรู้จริงวิธีกำจัด
ท่ามกลางความกังวลของสังคมต่อปัญหาปลาหมอคางดำ ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “ปลาต่างถิ่นรุกราน” ที่สร้างแรงกดดันต่อระบบนิเวศน้ำจืดและอาชีพประมงพื้นบ้าน วันนี้ภาพรวมสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ จากการขับเคลื่อนเชิงรุกของภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ภายใต้กลยุทธ์ “เจอ–แจ้ง–จับ–จบ” ที่ไม่ได้มุ่งเพียงกำจัด แต่เน้นการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ จนทำให้ชุมชนสามารถอยู่ร่วมกับปลาชนิดนี้ ควบคู่กับการรักษาสมดุลความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างเป็นรูปธรรม
เสียงสะท้อนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปลาป่น ถือเป็นหนึ่งในหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ตอกย้ำประสิทธิภาพของแนวทางดังกล่าว โดยนายกสมาคมผู้ผลิตปลาป่นและผู้แทนบริษัทเอกชน นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของโรงงานปลาป่น บริษัท ศิริแสงอารำพี จำกัด ได้ให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ว่า สถานการณ์ปลาหมอคางดำในจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียงมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน สะท้อนจากปริมาณปลาที่ชาวประมงนำมาส่งขายให้โรงงาน ซึ่งลดลงอย่างมากจนไม่เพียงพอสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต
“จากเดิมที่เคยรับซื้อปลาหมอคางดำได้วันละหลัก 1,000 กิโลกรัม ปัจจุบันต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะรวบรวมได้ แต่ก็ยังไม่ถึง 200 กิโลกรัม” นายปรีชากล่าว พร้อมย้ำว่านี่คือสัญญาณชัดว่าประชากรปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลงจริง ไม่ใช่เพียงการประเมินจากตัวเลขในเอกสาร แต่เป็นผลลัพธ์ที่ภาคธุรกิจรับรู้ได้โดยตรง
ในมิติคุณภาพ นายปรีชายังชี้ให้เห็นว่า ปลาหมอคางดำมีศักยภาพเชิงเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะด้านโปรตีน “ปลาน้ำจืดทั่วไปโปรตีนจะอยู่ราว 30–40% แต่ปลาหมอคางดำได้ถึง 55% ขณะที่ปลาทะเลทั่วไปจะมากกว่า 60% เรื่องโปรตีนจึงไม่ใช่ปัญหา หากโปรตีนน้อยก็ทำอาหารสัตว์ โปรตีนมากก็แปรรูปเป็นอาหารคนได้” มุมมองนี้สะท้อนแนวคิดสำคัญว่า ปลาหมอคางดำไม่จำเป็นต้องถูกมองเป็นภาระ หากมีการจัดการและใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม
ด้านภาครัฐ โดยสำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม รายงานผลการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พบว่าความหนาแน่นของปลาหมอคางดำในลำคลองต่างๆ ลดลงอย่างเป็นรูปธรรม จากเดิมที่พบเฉลี่ย 100 ตัวต่อพื้นที่ 100 ตารางเมตร ปัจจุบันเหลือเพียง 5–7 ตัวต่อ 100 ตารางเมตร ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จของมาตรการควบคุมที่ดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ขณะที่สำนักงานประมงจังหวัดเพชรบุรี ได้ยกระดับการแก้ปัญหาเป็น “วาระร่วมของชุมชน” โดยผนึกกำลังทุกภาคส่วนภายใต้กลยุทธ์ “เจอ–แจ้ง–จับ–จบ” ครอบคลุม 21 สายคลองทั่วจังหวัด การดำเนินงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่การจับปลา แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ผ่านกิจกรรมมากกว่า 45 ครั้ง ที่ช่วยทั้งลดความหนาแน่นของปลาหมอคางดำ และสร้างการรับรู้ให้คนในพื้นที่ลุกขึ้นมาเฝ้าระวังและจัดการร่วมกัน
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือการจัดการที่รวดเร็ว เป็นระบบและยั่งยืน พร้อมการส่งเสริมการแปรรูปเพิ่มมูลค่า เช่น ปลาร้า ปลาแดดเดียว และน้ำปลา ทำให้ปลาหมอคางดำจาก “ปัญหา” กลายเป็น “ทรัพยากร” ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่น และลดแรงจูงใจในการปล่อยหรือแพร่กระจายปลากลับสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
ในระดับนโยบาย นายสุวัฐน์ วงศ์สุวัฒน์ รองอธิบดีกรมประมง ในฐานะโฆษกกรมประมง เคยเปิดเผยว่า กรมประมงได้เร่งควบคุมและลดจำนวนปลาหมอคางดำผ่านกิจกรรมเชิงรุก อาทิ การ “ลงแขกลงคลอง” และการนำปลาหมอคางดำมาผลิตน้ำหมักชีวภาพ ภายใต้แบรนด์ “WASTE, NOT WASTED ของเสียที่ไม่เสียของ” ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และเครือข่ายในพื้นที่
อีกหนึ่งกลไกสำคัญ คือโครงการรับซื้อปลาหมอคางดำจากบ่อเพาะเลี้ยงและแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ในพื้นที่ 14 จังหวัด ปัจจุบันสามารถรับซื้อและส่งต่อให้กรมพัฒนาที่ดินเพื่อนำไปผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพได้แล้วรวมกว่า 2.84 ล้านกิโลกรัม (ข้อมูล ณ วันที่ 18 กรกฎาคม 2568) ตัวเลขนี้ไม่เพียงช่วยลดประชากรปลาในธรรมชาติ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง
เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งหมด จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ “เจอ–แจ้ง–จับ–จบ” ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดให้คล้องจอง แต่คือกระบวนการบริหารจัดการที่เชื่อมโยงข้อมูล วิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจ และการมีส่วนร่วมของชุมชนเข้าด้วยกัน จนเกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ทั้งในเชิงการลดจำนวนปลาหมอคางดำ การฟื้นฟูสมดุลระบบนิเวศ และการสร้างรายได้ใหม่ให้ท้องถิ่น บทเรียนสำคัญคือ เมื่อชุมชน “รู้จริง” และมีเครื่องมือที่เหมาะสม ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนก็สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี