จับแม่ใจยักษ์
บังคับลูกวัย12ค้ากามญี่ปุ่น

ตำรวจ ปคม.คุมตัวสอบเข้ม แม่ใจยักษ์บังคับลูกสาววัย 12 ปี ค้ากามที่ร้านนวดในญี่ปุ่น พบต้องรับแขกกว่า 60 คนในรอบ 1 เดือน เงินที่ได้เจ้าของร้านนำไปแบ่งกับแม่ สุดทนหนีไปขอความช่วยเหลือ ตร.ญี่ปุ่น ก่อนเรื่องจะแดง มีการออกหมายจับแม่ใจยักษ์ ประสานส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานถึงกรณีที่ตำรวจญี่ปุ่น บุกจับกุมชายชาวญี่ปุ่น อายุ 51 ปี เจ้าของร้านนวด ในความผิดฐานล่อลวงเด็กหญิงชาวไทย อายุ 12 ปี ไปค้าบริการ โดยพบแม่แท้ๆ คนไทยของเด็กเป็นผู้นำพาไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้บริการทางเพศแก่ลูกค้าที่ร้านนวดดังกล่าว แต่ภายหลังเด็กหญิงรายนี้ทนไม่ไหว ได้แจ้งขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งทางตำรวจนครบาลกรุงโตเกียว ระบุว่า เป็นคดี
ค้ามนุษย์ที่ผู้เสียหายอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีการเปิดเผยข้อมูล โดยผู้เสียหายถูกบังคับให้รับลูกค้ากว่า 60 คน ได้เงินกว่า 6 แสนเยน หรือคิดเป็นเงินไทย 120,000 บาท แต่เจ้าของร้านและแม่แท้ๆ ของเด็ก เป็นผู้รับเงินดังกล่าว ไปแบ่งกัน ส่วนแม่ของเด็ก ทำงานอยู่ที่ไต้หวัน ว่า พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคม.มอบหมายให้ พ.ต.อ.ณรงค์ เทศวิบูลย์ รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ชวินโรจน์ ภีมรัชตธำรงค์ ผกก.4 บก.ปคม.นำกำลังจับกุม น.ส.ลักษณา (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี แม่ของเด็กหญิงรายนี้ โดยจับกุมตัวที่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ภายหลังถูกทางการไต้หวัน ส่งตัวกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย ในช่วงเย็นวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ น.ส.ลักษณา ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไป เพื่อการอนาจารซึ่งหญิง แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม อันเป็นการกระทำแก่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี และเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282, 285 โทษจำคุก ตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาท และต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ และค้ามนุษย์โดยเป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็ก อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่น และเป็นการกระทำแก่บุคคลอายุไม่เกิน 15 ปี ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6, 52 วรรคสาม โทษจำคุกตั้งแต่ 8-20 ปี และปรับตั้งแต่ 8 แสนบาท-2 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ภายหลังผู้ต้องหาถูกคุมตัวกลับมาถึงประเทศไทย เจ้าหน้าที่ ได้คุมตัวไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาตามขั้นตอนทันที

ต่อมา พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศตคม.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. พล.ต.ต.วิทยาศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคม.พร้อมคณะแถลงข่าวการจับกุม น.ส.ลักษณา 

โดย พล.ต.ท.สุรพงษ์ กล่าวว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ ได้รับการประสานงานจากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ช่วยเหลือเด็กหญิง วัย 12 ปี ซึ่งถูก น.ส.ลักษณา แม่แท้ๆ พาไปทำงานนวดแฝงบริการทางเพศ ที่ประเทศญี่ปุ่น เหตุเกิดช่วงเดือนมิถุนายน 2568 จึงมีการประสานข้อมูลและเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยร่วมกับ ผบ.ตร.และ ผบช.น.ตำรวจเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นทำงานร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไต้หวัน ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา และช่วยเหลือเหยื่อ อย่างไรก็ตาม คดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุด ได้มอบหมายให้อัยการแผนกคดีค้ามนุษย์ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน โดยสอบสวนร่วมกับตำรวจ บก.ปคม.ซึ่งพบข้อมูลผู้ต้องหาเคยประกอบอาชีพนวดในไทยและต่างประเทศ

จากนั้นจึงมีการรวบรวมพยานหลักฐาน ขออำนาจศาลฯ ออกหมายจับน.ส.ลักษณา และประสานทางการไต้หวันก่อนจะควบคุมตัว น.ส.ลักษณา เพื่อส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย

สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพ อย่างไรก็ตาม ตามแนวทางการสืบสวนเจ้าหน้าที่พบว่า ภายหลังเด็กหญิงผู้เสียหายถูกพาไปประเทศญี่ปุ่น ผู้ต้องหาได้นำไปฝากกับร้านนวด มีการตกลงกับเจ้าของร้านดังกล่าว ให้ผู้เสียหายทำงานนวดแฝงการค้าบริการทางเพศ นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน กระทั่งเดือนกันยายน 2568 ผู้เสียหายทนไม่ไหว อาศัยจังหวะที่เจ้าของร้านเผลอ หลบหนีออกมาขอความช่วยเหลือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโตเกียว

ส่วนการสืบสวนเชิงลึก พบว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นผู้เสียหายได้นวดแฝงบริการทางเพศ แก่ลูกค้าชาวต่างชาติ โดยคิดค่าบริการนวดปกติ 8,000 เยน/ชั่วโมง ถ้านวดแฝงบริการทางเพศ คิดค่าตัว 12,000 เยน/ชั่วโมง ซึ่งรายได้จากการขายบริการทางเพศ เจ้าของร้านนวดจะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารในประเทศญี่ปุ่น จากนั้นผู้เกี่ยวข้องจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทย และโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของ น.ส.ลักษณา
ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีของบุตรสาวตนเอง

ที่ผ่านมาผู้เสียหายเชื่อว่ามารดาจะมารับกลับจากร้านนวด และพยายามติดต่อมารดา แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงต้องร้องขอความช่วยเหลือตำรวจญี่ปุ่น จนนำไปสู่การประสานงานระหว่างประเทศ และการจับกุมเจ้าของร้านนวด รวมถึงพนักงานในญี่ปุ่น ส่วนประเทศไทย ทางตำรวจ กก.4 บก.ปคม.ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลฯ ออกหมายจับ และจับกุมตัวผู้ต้องหาไว้ดำเนินคดีดังกล่าว