วันพุธ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'ผู้ตรวจการแผ่นดิน'แฉทุนจีนแย่งอาชีพคนไทย รุกธุรกิจเผาถ่านกะลามะพร้าว ทำผู้ประกอบการไทยเดือดร้อน ต้นทุนพุ่ง วัตถุดิบขาดแคลน ซ้ำสร้างปัญหามลพิษในชุมชน // ขณะที่'ขนส่งสายใต้ใหม่'พบต่างด้าวใช้นอมินีค้าขาย หลบข้อจำกัดกฎหมาย แข่งขันไม่เป็นธรรม ชง 7 มาตรการรับมือพร้อมดัน"กฎหมายนอมินี” ใช้บังคับทั่วประเทศ
วันที่ 31 ธันวาคม 2568 นายทรงศัก สายเชื้อ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า จากที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทำงานเชิงรุกแก้ปัญหาตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว” หรือ นอมินี เข้ามาถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ โดยทั้งลงพื้นที่ ตรวจสอบข้อเท็จจริง บูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานรัฐ และผลักดันการปิดช่องโหว่ทางกฎหมายอย่างจริงจังแล้ว ปัจจุบันพบว่าปัญหานอมินี ได้ขยายตัวสู่ธุรกิจค้าปลีก ตลาดสด ตลาดชุมชน และอุตสาหกรรมแปรรูปในท้องถิ่น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยรายย่อย
ล่าสุดเป็นกรณีธุรกิจโรงเผาถ่านจากกะลามะพร้าวในอ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับร้องเรียนว่า กลุ่มทุนจีนเข้ามากว้านซื้อกะลามะพร้าวเผาจากชาวบ้านในราคาสูงถึง กิโลกรัมละ 19–20 บาท จากเดิมที่โรงงานไทยรับซื้อเพียงประมาณ 9.50 บาท ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบ และเสี่ยงต่อการหยุดกิจการ ขณะเดียวกัน ราคาที่สูงขึ้นจูงใจให้ชาวบ้านเร่งเผากะลามะพร้าวเพื่อจำหน่าย ส่งผลให้เกิด ควันหนาแน่นมลพิษทางอากาศ กระทบต่อสุขภาพและคุณ ภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนเป็นวงกว้าง

ซึ่งจากที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ประสานจังหวัดราชบุรีเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ พาณิชย์จังหวัด อุตสาห กรรมจังหวัด หน่วยงานสิ่งแวดล้อม สาธารณสุขจังหวัด อำเภอปากท่อ และองค์การบริหารส่วนตำบลยางหัก เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงพบว่า กระทรวงพาณิชย์โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าอยู่ระหว่างการตรวจสอบธุรกิจเสี่ยงเป็นนอมินี 6 ประเภท รวมกว่า 46,000 รายทั่วประเทศ โดยจังหวัดราชบุรีคัดกรองได้ 58 ราย อยู่ระหว่างตรวจสอบ และมีโรงงานเผาถ่านกะลาที่ได้รับอนุญาตถูกต้องเพียง 9 โรงงานเท่านั้น
สำหรับพื้นที่หมู่ที่ 7 ตำบลยางหัก ซึ่งเป็นแหล่งเผากะลามะพร้าวขนาดใหญ่ พบผู้ประกอบการประมาณ 35 ราย แต่ละรายมีเตาเผา 6–8 เตา ตรวจพบค่าก๊าซคาร์บอน มอนอกไซด์ (CO) สูงหลายจุด และมีควัน–กลิ่นไฟปกคลุมหมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวและช่วงเช้ามืด ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างชัดเจน
นายทรงศัก กล่าวด้วยว่า การลงพื้นที่ดังกล่าวนำไปสู่ข้อเสนอแนวทางสำคัญได้แก่ 1. สร้าง “สมดุล 4 ด้าน” คือ สมดุลในห่วงโซ่การผลิตระหว่างผู้ประกอบการเผาถ่านรายใหญ่–รายย่อยต้องได้ประโยชน์และพัฒนาไปด้วยกัน, สมดุลระหว่างความต้องการในประเทศและส่งออก, สมดุลการอยู่ร่วมกันของ ชาวบ้านที่เผาและกลุ่มไม่เผากะลา และสมดุลเรื่องการผลิตที่ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม
2. ป้องกันต่างชาติเข้าทำธุรกิจผิดกฎหมายโดยทำให้ราคาซื้อขายในพื้นที่สมดุลช่วยให้ประชาชนเลือกค้าขายกับผู้ประกอบการไทยและลดการแทรกแซงราคา
3.ควบคุมมลพิษอย่างเป็นระบบ โดยเสนอให้ตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดและอนุกรรมการกำกับและดูแลเรื่องเทคโน โลยีและสิ่งแวดล้อมเป็นการเฉพาะ ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมบูรณาการกับส่วนกลางและเอกชน
4.ออกข้อบัญญัติท้องถิ่น เร่งจัดทำข้อบัญญัติแก้ปัญหาแก้มลภาวะจากการเผาถ่าน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อให้ใช้ได้จริง
5.คัดกรองการส่งออกให้รัดกุมขึ้นให้กรมการค้าต่างประเทศออกหลักเกณฑ์ และให้กรมศุลกากรและท่าเรือแห่งประเทศไทย เพิ่มการตรวจสอบโดยอาศัยข้อมูลจากชุมชนผ่านจังหวัดเพื่อเป็นกลไกประสาน

6.ติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องนอมินี และต่างชาติซื้อที่ดิน พร้อมผลักดันกฎหมายกลาง“นอมินี”ใช้ทั่วประเทศ
และ 7.กรณีรัฐวิสาหกิจจากประเทศจีน หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า เข้าซื้อสินค้าจะหารือกระทรวงต่างประเทศและพาณิชย์ หากถูกกฎหมายให้ส่งเสริม หากอาศัยช่องว่างต้องเร่งแก้ไขทันที
นอกจากนี้ ยังพบปัญหานอมินีในตลาดสายใต้เซ็นเตอร์ สายใต้ใหม่ เขตตลิ่งชัน ซึ่งจากรายงานของสำนักงานเขตตลิ่งชันและสถานีตำรวจนครบาลตลิ่งชันที่ได้ตรวจสอบพื้นที่บริเวณตลาดสายใต้เซ็นเตอร์ สายใต้ใหม่ เป็นประจำ พบคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาประมาณ 700 ราย ประกอบกิจการค้าปลีกโดยใช้ชื่อคนไทยขออนุญาตแทน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ค้าคนไทยเสียเปรียบ ถูกคุกคาม และแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม
ผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบหลังผู้ค้าคนไทยเสียเปรียบหนักและได้เสนอแนะให้หน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขโดยตั้งศูนย์ประสานงานและรับแจ้งเบาะ แสลงพื้นที่ตรวจแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ตรวจร้านค้าเสี่ยงเป็นนอมินีในตลาด เขตต่าง ๆ และพื้นที่เศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวทั่วประเทศ กำชับตลาดยืนยันตัวตนผู้เช่าล็อก ห้ามเช่าช่วง และให้การชำระเงินตรงกับผู้ลงทะเบียนจริง มาตรการระยะยาว พัฒนาระบบตรวจสอบนิติบุคคลเข้าข่ายนอมินี จัดทำฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวและผู้ประกอบการเสี่ยงในพื้นที่ กทม. สร้างกลไกเฝ้าระวังร่วมฝ่ายปกครอง–ตำรวจ–ตม.–สำนักงานเขต ทำแผนตรวจประจำปี เน้นตลาดและพื้นที่เศรษฐกิจที่มีแรงงานต่างด้าวหนาแน่น ออกกฎหมายและระเบียบกำกับตลาดด้านการบริหารจัดการ การประกอบการและแรงงาน
ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า กฎหมาย สิ่งแวดล้อม การส่งออก และผลกระทบต่อชุมชน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนและกำหนดแนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี