วันอาทิตย์ ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557, 20.10 น.
29 มิ.ย. 57 พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือพระนามลำลองว่า “ท่านใหม่” เป็นพระโอรสลำดับที่ 4 ในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ กับหม่อมอุบล ยุคล ณ อยุธยา โพสต์เฟซบุ๊ก
"Chulcherm Yugala" ถึงกรณีเผยแพร่รับสั่งของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี กรณีรับสั่ง
"ไม่ปลูกวัง เพราะต่อไปเขา ( เขา??? ) จะไล่ฉัน ไม่ให้อยู่วังแล้ว" จนเกิดกระแสวิพาษ์วิจารณ์ทั้งในแง่ดีและร้ายเป็นวงกว้าง ในประเด็นที่ พล.ต.ม.จ.จุลเจิม นำรับสั่งของสมเด็จพระเทพฯ ออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ อีกทั้งยังมีการตั้งคำถามว่า การที่อ้างรับสั่งดังกล่าวมีข้อเท็จจริงอย่างไร
โดย พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ชี้แจงว่า รับทรงดังกล่าวนั้น ได้ฟังมาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง แต่ไม่ขอเอ่ยนาม ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดและเป็นที่วางพระราชหฤทัยของสมเด็จพระเทพฯ เป็นอย่างมาก เป็นผู้เล่าให้ฟัง เมื่อได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ และเกิดคำถามในใจว่าผู้ใด บังอาจจะกระทำการดังกล่าว จึงนำไปวิเคราะห์หาคำตอบกับกลุ่มเพื่อน อาจารย์ และนักวิชาการหลายๆ คน เพื่อไขปมปริศนารับทรงของสมเด็จพระเทพฯ
จนกระทั่งในที่สุดก็ได้คำตอบคือ เป็นเพราะ “พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในพื้นที่ ราชเทวี ปทุมวัน" ซึ่งออกครั้งแรกในปี 2530 จากนั้นก็มีการต่อประกาศทุก 4 ปี คือ ในปี 2534, 2538, 2542, 2546, 2550 และครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้ว เพราะที่ปล่อยให้เรื่อง คาราคาซังจนมาถึงทุกวันนี้ เพราะการทางพิเศษ ต้องการรักษาสิทธิในการเวนคืน จึงขอให้รัฐบาลต่ออายุพระราชกฤษฎีกาเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันนี้
จากนั้น พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ได้ชี้แจงกรณีการนำรับทรงของสมเด็จพระเทพฯ มาเผยแพร่ต่อสาธารณะ โดยยกเรื่อง "พระนางเรือล่ม" ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งเป็นพระธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มาแสดงให้เห็นว่าหากนิ่งเฉย ไม่นำรับสั่งของสมเด็จพระเทพฯ ออกมาเผยแพร่เพราะกลัวว่าจะถูกตำหนิ ก็อาจจะทำให้เรื่องนี้เป็นที่น่าโศกเศร้า เหมือนกรณีของเรื่อง "พระนางเรือล่ม" เป็นแน่
พล.ต.ม.จ.จุลเจิม โพสต์เฟซบุ๊กไว้ดังนี้
หลายๆท่าน อาจจะกังขา ว่าเรื่องที่ผม Post ลงใน Tweeter เกี่ยวกับ เรื่องสมเด็จพระเทพฯ เป็นเรื่องจริง หรือเท็จ และเป็นที่วิพากวิจารณ์ เป็นวงกว้าง ทั้งในทางที่ดี และเลว......... เรื่องที่ผมยกเอาเรื่องของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มากล่าว มาอ้าง ซึ่งหลายท่าน ตลอดจนสื่อ หลายๆ สำนัก กังขา ว่าผมอ้างถึงรับสั่ง ซึ่งไม่มีใครทราบ ว่าจริงหรือเท็จ จนเกิดความตื่นตระหนกตกใจกัน
และนี่แหละคือการแสดงออกของการรักสถาบัน ปกป้องหวงแหน และไม่เพิกเฉย ต่อสิ่งจะเกิดขึ้นกับสถาบัน และสมเด็จพระเทพฯ ของมวลมหาประชาชน ซึ่งผมดีใจ และชื่นใจ ครับ ถึงการแสดงออกในครั้งนี้ และผมไม่เสียใจที่มีคนมาด่าว่าผม แต่ก่อนอื่น ขอจงกรุณาใช้วิจารณญาณ ในการออกมารุมโจมตี ติชมหรือรุมด่าว่าผม ขอความยุติธรรมให้ผมบ้าง
ผมยอมรับว่า เรื่องดังกล่าว ผมได้ฟังจากท่านผู้ใหญ่ ท่านหนึ่ง ที่ผมเคารพ นับถือ และทุกๆ ท่านอาจจะรู้จักดี แต่ผมไม่ขอเอ่ยนาม แต่ผมขอบอกเพียงว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของ สมเด็จพระเทพฯ (อย่างมากๆ ท่านหนึ่ง) ........ ผมได้พบกับท่านผู้ใหญ่ท่านนี้ เราได้พูดคุยกัน ถึงความห่วงใยต่อ บ้านเมืองต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระเทพฯ ต่อมาท่านจึงได้เล่า ในเรื่องดังกล่าวให้ผมฟัง (จะจริง จะเท็จ ผมไม่ทราบ เพราะผมก็มิได้ฟังจากพระโอษฐ์ แต่ผมมิได้กังขา และเชื่อว่าเรื่องที่ท่านเล่ามานี้ เป็นเรื่องจริง มิใช่เรื่องเท็จ แน่นอนเพราะ สมเด็จพระเทพฯ ได้ทรงคุย กับผู้ใหญ่ของผมท่านนี้ตลอดมา และเป็นการส่วนพระองค์ และผมต้องขอย้ำว่า “เป็นการส่วนพระองค์” กับท่านผู้ใหญ่ท่านนี้) ซึ่งเรื่องที่เล่ามานี้ เพราะผู้ใหญ่ของผมท่านนี้ไม่มีความสบายใจ เป็นอย่างมาก ในการที่ได้ทรงปรารภในเรื่องดังกล่าวขึ้นมา คือ เรื่องที่ ทรงไปซื้อที่ดิน และปลูกพระตำหนัก หลังเล็กๆ เมื่อต้องโดนไล่ออกจากวัง............ซึ่งผมจะไม่ลงรายละเอียด เพราะเคยบอก เล่าไปแล้ว
และเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆทุกๆท่านที่ได้ติดตามผม มา คงเข้าใจแล้วนะครับ ว่าผมจะไม่มีวันทรยศ ต่อข้อเขียนของผม เด็ดขาด และขอรับผิดชอบในข้อเขียนของผมแต่ผู้เดียว และการแก้ตัวที่ชั่วร้ายที่สุด คือการโยนความผิดให้ผู้อื่น ซึ่งผมจะไม่ทำเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่ที่ พีๆน้องๆเพื่อนๆ ตลอดคนที่ติดตามผม ได้อ่านจบลง ได้วิพากษ์วิจารณ์ ทั้งในทางที่ดี หรือทางลบ ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถที่จะเอาใจใครได้ทั้งหมด แต่ข้อเขียนผมอาจจะ ไม่ใช่ข้อเขียนแบบที่คนไม่เห็นด้วยที่อยากจะอ่านเลย....
หลังจากที่ผมได้รับฟังจากท่านผู้ใหญ่ท่านนี้แล้ว ถึงความห่วงใย ในองค์ สมเด็จพระเทพฯ ผมก็ได้แต่เกิด ความ เศร้าใจ สลดใจในหัวใจ และครุ่นคิดว่า ใครหนอช่างใจร้าย กับคนที่ประชาชน คนไทยค่อนประเทศรัก ไม่ว่าจะมีสีเสื้ออะไร ไม่ว่า แดง เหลือง ขาว หรือประชาชนคนธรรมดา ทหาร ตำรวจ พระภิกษุสงฆ์ ต่างก็รักสมเด็จพระเทพฯ และสถาบันกันทั้งนั้น แต่กลับได้มีพวกใจบาป สารเลวช่างมาทำกับพระองค์ท่านได้ลงคอ
เมื่อผมลา และออกมาจากท่านผู้ใหญ่ท่านนี้แล้ว ผมนึกในข้อปริศนาดังกล่าวไม่ออก ถึงสาเหตุ ว่า ทำไม ทำไม.......... ผมจึ่งเอาเรื่องนี้ไปถกเถียงกับเพื่อนๆบางคน รวมทั้ง อจ และนักวิชาการบางท่านที่สนิทสนมกัน และเราได้ตั้งโจทย์ และย้อนกลับไป สมัย พ.ศ. 2475 เรื่องการยึด วังต่างๆ ของเจ้านาย เมื่อปี พ.ศ. 2475 ของคณะราษฎร์ ที่ยึดดะไปหมดของ ยึดทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง ที่เกี่ยวข้องของพวกพระราชวงศ์ (ก็คือเจ้า) เอามาเป็นของรัฐ อาทิ วังต่างๆ ไปเป็นของรัฐ แม้แต่ สำนักงานทรัพย์สิน ส่วน พระมหากษัตริย์ เป็นต้น ...... แต่มานึกกันอีกที ก็ว่า ไม่น่าใช่ เพราะหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว และในปัจจุบัน คณะ คสช ถ้าจะยึด คงยึดแต่แรกแล้ว และคณะ คสช ก็ช่างจงรักภักดี ต่อสถาบัน จะตายไป...
จากนั้นพวกเราจึงได้ตั้งสมมติฐานกันใหม่ว่า...... ทำไมสมเด็จพระเทพฯ ถึงต้องรับสั่งว่า จะต้องออกไปซื้อที่ดินและปลูกพระตำหนัก (บ้าน) ใหม่ โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์.......ใน ที่สุดเราก็ได้คำตอบของ เรื่องนี้ คือ เรื่องเกี่ยวกับ ที่ทรงซื้อที่ดิน โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
........... เพราะสมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นขัตติยะราชนารี ไม่ทรงถือเอาผลประโยชน์จากประชาชนตามพระประสงค์ หรือตามพระทัยของพระองค์เอง จึงต้องทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปซื้อที่ดิน และปลูกสร้าง บ้าน (พระตำหนัก)
และในข้อกังขาข้อต่อไป..... เราก็ได้ตั้งสมมติฐานกัน ถึงสาเหตุ ทำไมถึงต้องทรงเสด็จออกจากวังสระปทุม ซึ่งวังสระประทุมในอดีตเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เรื่อยมาจนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคต เมื่อ ปี พ.ศ. 2538 หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานวังสระปทุมให้เป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จนถึงปัจจุบัน ดังนั้น วังสระปทุม ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญแห่งพระราชวงศ์ และชาติ และเป็นพระมรดก ที่หวงแหน ส่วนพระองค์ ซึ่งหากจะย้อนสอบประวัติกันแล้ววังสระปทุม ก็มิได้เป็นของรัฐมาเก่าก่อน จึงจะมายึด หรือไล่ออกกันง่ายๆมิได้
....... ในที่สุด เอวัง ก็มาถึงประการเช่นนี้ และพวกเราก็ถึงบางอ้อ จนได้....... สาเหตุที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ต้องเตรียมพระองค์ ซื้อที่ ปลูกบ้าน (พระตำหนัก ใหม่) เยี่ยง ปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลาย ก็สาเหตุ เพราะเป็นเรื่อง ที่หมกเม็ด ปิดปากเงียบกันมานาน คือ “พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในพื้นที่ ราชเทวี ปทุมวัน ซึ่งออกครั้งแรกในปี 2530 จากนั้นก็มีการต่อประกาศทุก 4 ปี คือ ในปี 2534, 2538, 2542, 2546, 2550 และครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้ว เพราะที่ปล่อยให้เรื่อง คาราคาซังจนมาถึงทุกวันนี้ เพราะการทางพิเศษ ต้องการรักษาสิทธิในการเวนคืน จึงขอให้รัฐบาลต่ออายุพระราชกฤษฎีกาเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันนี้ จริงไหมครับ และใช่ไหมครับ ผู้ว่า และ รองผู้ว่า การทางพิเศษฯ จะปฏิเสธ หรือตอบว่าไม่ทราบ ไหมครับ เพราะเรื่องนี้มีคนขุดคุ้ย และให้ความสนใจเป็นวงกว้าง ถ้ายังมีคนสนใจ กรุณาอ่านตอนต่อไปครับ
ผมขอหยุดเรื่องพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในพื้นที่ ราชเทวี ปทุมวัน ก่อน กรุณาติดตามตอนต่อไปครับ แต่ผมขอเรียนว่า ขอเขียนและ พูดความในใจผมบ้าง เรื่องที่ผมยกเอาเรื่องของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มากล่าว มาอ้าง ถึงแม้ว่า จะดูไม่ดีงาม ผิดขนบ ประเพณี จนพวก คุณหญิง คุณนาย ตลอดจนคนหัวดำ หัวขาว หัวสั่น หัวคลอนหรือ พวกยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ตลอดบุคคลที่บอกว่าใกล้ชิด มาตำหนิ มาด่า มาว่าผม ว่าเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ที่จะเอาเรื่อง หรือพระนาม ของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาเอยอ้าง เอามาโหน ในการสร้างความดังให้ตนเอง ผมยอมรับคำด่าว่า คำ ตำหนิ ติเตียนทั้งหมดที่ออกจากปากพวกท่านเหล่านั้น ทั้งคำพูด และข้อเขียน ครับ
แต่ผมอยากจะถามจะย้อนถามพวกท่าน คุณหญิง คุณนาย ตลอดจนพวกคนหัวดำ หัวขาว หัวสั่น หัวคลอน ตลอดบุคคลที่อ้างว่าใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ที่พวกท่านเหล่านั้น เพิกเฉย ไม่คิดอ่านทำการใดที่จะต่อสู้ให้กับสถาบัน ที่เลี้ยงพวกท่านอยู่ มีข้าว น้ำ ให้กิน มีบริวารให้ใช้ แต่กลับคอยแต่จะผูกขาดความจงรักภักดี ซึ่งย่อมเปรียบเหมือนเถาวัลย์พันไม้ใหญ่ไว้เช่นนั้น หามีประโยชน์อื่นใดไม่ได้ และถ้าผมไม่พูดถึงเรื่องดังกล่าว เราๆท่านๆ และประชาชนทั้งหลาย ไม่ว่า เหลือง แดงจะรู้ไหมว่าครับว่า ได้ มี “พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในพื้นที่ ราชเทวี ปทุมวัน ที่หมกเม็ด ปิดปากเงียบกัน และถ้าต่อไปในอนาคต เกิดมีการเวนคืนกันขึ้น จากคำสั่งของผู้มีบารมี จากต่างประเทศ จะต้องสูญเสียต่อพระหฤทัย(จิตรใจ) ของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และวังสระปทุม เกิดต้องโดนเวนคืนขึ้นละ...... ผมจึงอยากถามพวก คุณหญิง คุณนาย ตลอดจนพวกคนหัวดำ หัวขาว หัวสั่น หัวคลอน ทั้งหลายจะรับผิดชอบ กับการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ ได้อย่างไรกัน
ผมจึงอยากขอยกตัวอย่างมาเป็นอุทาหร ศึกษากันของการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ คือเรื่อง พระนางเรือล่ม ที่สูญเสีย และเกิดโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ยุคแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 เหตุครั้งนั้นทำให้ “สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี” หรือที่เราคนไทยคุ้นกับพระนามของพระองค์ว่า “พระนางเรือล่ม” ซึ่งทรงเป็น พระนางอันเป็นที่รักยิ่งของเจ้าแผ่นดินต้องมาสังเวยชีวิตสิ้นพระชนม์ลง ณ กลางแม่น้ำนั้น..... เหตุการณ์ในคราวนั้น ถึงสามารถจะหาพระศพจนพบ ลักษณะพระศพที่เห็นนำความเศร้าสลดมาสู่สายตาผู้พบเห็นยิ่งนัก ซึ่งเป็นภาพพระนางโอบพระธิดาไว้แนบอก และพระศพที่พบก็จมอยู่ใต้ซากเรือพระที่นั่งนั่นเอง ถึงกับทำให้ “เจ้าเหนือหัว” ของคนไทย “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ถึงกับทรงพระกรรณแสง เพราะกฏมณเฑียรบาลที่ พระยามหามนตรี ( อ่ำ ) สมุหราชองครักษ์ ได้ออกคำสั่งโดยฉับพลันทันทีไม่ให้คนหนึ่งคนใดลงไปช่วย เนื่องด้วยขัดกับกฏมณเฑียรบาล แม้แต่ชาวบ้านสามัญที่ไม่รู้เรื่องว่า กฏมณเฑียรบาลคืออะไร ส่วนพวก (เช่นพวกเรา ในปัจจุบัน) ที่หักหาญเข้ามาช่วยเหลือก็ช่วยได้แต่เพียงนางข้าหลวง
สำหรับเรือพระที่นั่งแล้ว พระยา มหามนตรี ได้ออกคำสั่งเด็ดขาดไม่ให้เข้าใกล้แตะต้อง (ก็ คือ พวกคุณหญิง คุณนาย ตลอดจนพวกคนหัวดำ หัวขาว หัวสั่น หัวคลอนหรือ พวกฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม) ถึงกับมีผู้กล่าวว่า ตัวพระยามหามนตรีเอง ชักดาบยืนตะโกนออกคำสั่งสำทับอยู่ที่หัวเรือ ทำให้พวกชาวบ้านงงงวยนัก เพียงแต่ช่วยพวกข้าหลวงให้ขึ้นเรือที่พายออกไปช่วยแล้วนำส่งขึ้นเรือใหญ่ ส่วนพวกที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็จมหายไปนั้น ก็ได้งมช่วยขึ้นมาทันท่วงที และแก้ไขให้พ้นอันตรายเป็นจำนวนมาก จึงอาจจะกล่าวได้ทีเดียวว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สิ้นพระชนม์ไปเพราะกฏมณเฑียรบาล กฎหมายอันมีมาแต่โบราณกาล ที่ในปัจจุบันได้ยกเลิกไป แต่ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันต่อสถาบันไม่ใช่ กฎมณเฑียรบาล อีกต่อไปแล้ว แต่จะเกิดจาก บุคคล พวกที่หัวดำ หัวขาว หัวสั่น หัวคลอน ตลอดบุคคลที่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ต่อการเพิกเฉย ไม่คิดอ่านทำการใดที่จะต่อสู้ให้กับสถาบัน ที่เลี้ยงให้ มีข้าว น้ำ ให้กิน มีบริวารให้ใช้ แต่กลับคอยแต่จะผูกขาดความจงรักภักดี ย่อมเปรียบเหมือนเถาวัลย์พันไม้ใหญ่ไว้เช่นนั้น หามีประโยชน์อื่นใดไม่ได้ คอยแต่ออกมาโวย อย่าแตะต้อง จะทำให้เสื่อมเสีย ต่อ พระองค์ท่าน เสื่อมเสียต่อสถาบัน
ที่ผมยกตัวอย่าง เรื่องพระนางเรือล่มขึ้นมา ก็เพื่อเป็นอุทาหรสำหรับสำหรับพวกเราทุกคน ว่า เหตุการณ์ ในครั้งนั้นถึงกับทำให้ “เจ้าเหนือหัว” ของคนไทย “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ถึงกับทรงพระกรรณแสง เพราะการผูกขาด (ในปัจจุบัน) และความเคร่งครัด ในกฎมณเฑียรบาล ของพระยามหามนตรี ( อ่ำ ) สมุหราชองครักษ์ (เมื่อสมัยก่อน)
เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องเขียน และบอกกล่าวพวกเรา ให้ทราบในอุทาหรในเรื่องดังกล่าว ถึงแม้ผมจะโดน ตำหนิติฉิน เรื่องที่ผมเขียนออกไปแล้วนั้น เพราะผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ ดังเช่นในอดีต ผมยอมถูกตำหนิ ยอมถูกว่ากล่าว เพราะผมไม่อยากให้เกิด เหตุการณ์ดั่งในอดีต ถึงแม้จะผิดขนบธรรมเนียม จารีต ในสิ่งที่ผมเขียน หรือพูดออกมา ผมไม่หวั่นไหว กับพวกไม่คิดอ่านทำการใดๆ คอยแต่จะผูกขาดความจงรักภักดี พวก เถาวัลย์พันไม้ใหญ่ คอยแต่จะผูกขาดความจงรักภักดี คอย ด่าว่า ติฉินไปเรื่อยๆ เมื่อเรา รู้เห็นเรื่องอับปมงคลแล้ว เรามาหาทางป้องกันดีกว่า อย่าต้องให้มาเสียใจกัน กับเหตุการณ์ ที่ทำให้เราสะเทือนในจิตรใจ แบบ เรื่อง พระนางเรือล่ม และถ้ายังอยากติดตาม กรุณาอ่านต่อไปได้เรื่อยครับ
ม.จ. จุลเจิม ยุคล