กมธ.ตั้งบอร์ดคุณธรรม
ชงตั้ง‘ปลัด’
สกัดนักการเมืองล้วงลูก
ปิดช่องใช้อำนาจมิชอบ
ห้ามแปรญัตติ-ผลาญงบ
สั่งราชการต้องเซ็นชื่อ
เมื่อวันที่ 30 มกราคม มีการประชุมกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราในหมวด 5 การเงิน การคลังและการงบประมาณและหมวด 6 ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการ นักการเมืองและประชาชนนายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกมธ.ยกร่างฯแถลงความคืบหน้าการยกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราว่ามีการวางหลักการใหม่เพิ่มเติมคือ กรณีมีการแปรญัตติลด หรือตัดทอนงบประมาณรายการใดแล้ว จำนวนรายจ่ายที่ลด หรือตัดทอนนั้น ส.ส.จะแปรญัตติแล้วนำไปจัดสรรกับรายการ กิจกรรม แผนงาน หรือโครงการที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังมิได้ รวมทั้งมีการกำหนดว่า กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใด ก่อให้เกิดการใช้จ่ายเงินแผ่นดินอันวิญญูชนพึงเห็นได้ว่า จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) อาจไต่สวนข้อเท็จจริงยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง แผนกคดีวินัยการคลัง และการงบประมาณ โดยศาลต้องพิจารณาวินิจฉัยไม่ชักช้า
ตั้งบอร์ดคัดกรองแต่งตั้งปลัดฯ
สำหรับหมวด6 ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการ นักการเมืองและประชาชน มีการวางหลักการใหม่ คือ การแตงตั้งข้าราชการพลเรือน ต้องใช้ระบบคุณธรรมและให้มีคณะกรรมการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการโดยระบบคุณธรรม ประกอบด้วยกรรมการ 7คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากบุคคลซึ่งมีความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นกลางทางการเมือง ดังนี้ 1.กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ซึ่งได้รับเลือกจากคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน 2คน 2.ผู้ซึ่งเคยดำดรงตำแหน่งปลัดกระทรวง หรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าปลัดกระทรวงและได้พ้นจากราชการแล้ว 3คน ซึ่งได้รับเลือกโดยผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง หรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าปลัดกระทรวงและ3.ให้ประธานกรรมการจริยธรรมของทุกกระทรวงเลือกกันเองอีก 2คน
สกัดการเมืองล้วงลูกโยกย้าย
นายคำนูณ กล่าวถึงเหตุผลการวางหลักการใหม่เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการพลเรือนระดับปลัดกระทรวงว่า เป็นการแก้ปัญหาในอดีตที่มีการโยกย้ายแต่งตั้งตามอำนาจทางการเมืองจนเกิดปัญหา ขณะเดียวกันมีการคำนึงถึงสมดุลทางอำนาจ ซึ่งต้องไปบัญญัติไว้ในกฎหมายลูกถึงอำนาจชี้ขาดในการแต่งตั้งปลัดกระทรวง โดยมีการอภิปรายเบื้องต้นว่า อาจให้คณะกรรมการฯเสนอชื่อบุคคลที่สมควรดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง 3คน ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เลือกในขั้นตอนสุดท้าย ไม่ใช่เป็นการมัดมือชกว่า นายกรัฐมนตรีต้องปฏิบัติตามที่คณะกรรมการฯเสนอเท่านั้น โดยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องไปบัญญัติไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ห้ามสั่งด้วยวาจา-เว้นเร่งด่วน
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญใหม่ยังแก้ปัญหากรณีผู้มีอำนาจสั่งการด้วยวาจาเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบด้วยการกำหนดว่า การสั่งการในการบริหารราชการแผ่นดินให้กระทำเป็นลายลักษณ์อักษร เว้นแต่กรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็นเร่งด่วน อาจสั่งราชการด้วยวาจาได้ แต่ให้ผู้ได้รับคำสั่งบันทึกคำสังดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อีกและเสนอให้ผู้สั่งลงนามในภายหลัง ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใดดำเนินการไปโดยปราศจากการสังการดังกล่าวข้างต้น ย่อมต้องรับผิดตามกฎหมายด้วยตนเอง ทั้งนี้ตามกฎหมายบัญญัติ เชื่อว่าหลักการใหม่จะแก้ปัญหาได้ เพราะทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการจะถูกกำกับโดยระบบคุณธรรม จริยธรรม เพราะถ้าคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมากระทำการมิชอบก็ต้องรับผิดตามกฎหมายไม่ต่างจากนักการเมือง จึงคิดว่าหลักการนี้จะเป็นความหวังได้
เผยชื่อใหม่’กสม.ยุบรวมผู้ตรวจฯ
ด้าน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่างฯแถลงว่า กมธ.ยกร่างฯ ได้ทำการยกสถานะของผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็น “ผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิของประชาชน”เป็นการผนึกกำลัง 2หน่วยงานเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์ของประชาชน ในการเรียกร้องสิทธิได้ที่เดียว ไม่ต้องไปร้องถึง2ที่เหมือนในอดีตที่ผ่านมา และจะลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เร็วเพิ่มขึ้น โดยผู้ตรวจการฯมี 11คน แบ่งการทำงานเป็น 11 ด้าน ซึ่งจะบัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่อไป ทั้งนี้ผู้ตรวจการฯ จะมีอำนาจและหน้าที่พิทักษ์ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชน
มีอำนาจหน้าที่สำคัญ5ประการ
นายบวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ผู้ตรวจการฯ มีอำนาจหน้าที่ ตามมาตรา( 2/5/4)2 ที่สำคัญคือ(3) เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตามพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ (4)เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลปกครอง ว่า กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใด กระทบต่อสิทธิมนุษยชน หรือกฎ คำสั่ง หรือการกระทำของบุคคลตาม(2) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ทั้งนี้ตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง(5) ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหายเมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควร เพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนร่วม หรือเมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์สาธารณะ
‘สมบัติ’หวั่นลต.ใหม่ได้เผด็จการ
ขณะที่ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ”ทิศทางและอนาคตการเมืองไทย” ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) โดยระบุว่า ข้อเสนอของ กมธ.ยกร่างฯในการร่างรัฐธรรมนูญที่ให้มีการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมในขณะนี้ ถือว่า มีจุดเสี่ยง คือ ถ้าไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก จะเกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอไม่มีเสถียรภาพและถ้าพรรคแกนนำมีเสียงเกินครึ่ง การจัดตั้งรัฐบาลผสมเสียงข้างมากเด็ดขาด จะทำให้เกิดเผด็จการจากการเลือกตั้ง รัฐบาลบงการได้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
ถอดถอนพวกเสียงข้างมากไม่ได้
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ข้อเสนอการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็มีจุดเสี่ยงเพราะการถอดถอนโดยกำหนดให้ส.ส.และส.ว.จำนวน 650เสียง เป็นผู้ตัดสินโดยใช้เสียงข้างมาก ถ้าพรรคแกนนำรัฐบาลผสมจัดตั้งพรรคโดยมี ส.ส.สนับสนุนเกิน 330เสียง การถอดถอนจะไม่มีโอกาสสำเร็จ และเมื่อการถอดถอนผู้ประพฤติมิชอบไม่สามารถกระทำได้การทุจริตจะยิ่งมากขึ้นสำหรับการเมืองในอนาคตหลังใช้รัฐธรรมนูญและจัดเลือกตั้ง โอกาสจะเกิดกลุ่มการเมืองพรรคเดียว โดยมีพรรคที่ได้คะแนนเสียงที่มากและมีอีก 3-4พรรคมาร่วมเป็นรัฐบาล ซึ่งมีแนวโน้มที่จะผูกขาดเป็นรัฐบาลระยะยาวพอสมควร หากไม่มีการทุจริตและบริหารงานดี แต่ถ้ามีการทุจริต มีการโกง ประชาชนก็จะออกมาคัดค้าน ประเทศชาติก็จะจมปลักกับความขัดแย้งเหมือนเดิม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี