หลังจากสืบสวนและ “ไล่ล่า” มาระยะหนึ่ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคง ก็ได้เข้าจับกุม “นายหัสดิน อุไรไพรวัน” เจ้าของนามแฝง “บรรพต” ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีความผิดตามมาตรา 112 ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ผลิตคลิปเสียง “หมิ่นสถาบันเบื้องสูง” ได้ที่โรงแรมเอวัน ย่านพระราม 9
นั่นทำให้ชื่อของ “หัสดิน” หรือ “บรรพต” ถูกกล่าวถึง และมีการขุดคุ้ยถึง “ความเป็นมา” ของเขาว่าเป็นใครมาจากไหน.???
ต่อมาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เฟซบุ๊คแฟนเพจ “V For Thailand” ออกมาอ้างว่า จากการสืบสวนของหน่วยงานด้านความมั่นคง ทราบว่า กลุ่มที่ใช้ชื่อว่า “บรรพต” มีการร่วมกันกระทำความผิดเป็นเครือข่าย ที่มีลักษณะในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวาย และความเกลียดชังขึ้นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการหมิ่นสถาบันฯ
“เครือข่าย” นี้แบ่งหน้าที่ในการดำเนินการอย่างเป็นขบวนการ ประกอบด้วย ผู้บงการ , ผู้ผลิตแนวคิด/วิทยากร , ผู้ปฏิบัติการ , แนวร่วม และผู้แสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการจับกุมกลุ่มบุคคลที่อยู่ในส่วนผู้ปฏิบัติการ , แนวร่วม และผู้แสวงหาผลประโยชน์ ได้หลายราย ได้แก่
+ กลุ่มปฏิบัติการ ประกอบด้วย นายดำรงค์ ชาญสิทธิโชค , นางศิวาพร ปัญญา , นายเงินคูณ อุดมคุณากร , นายไพศิษฐ์ จิรประดับวงศ์ , นายสุรัช สมิตชาติ และนางอัญชัญ ปรีเลิศ
+ กลุ่มแนวร่วม ประกอบด้วย นายชโย อัญชลีพัชระ , นายราชกวี ปรางค์ชัยกุล , นายเฉลียว จันเขียด และนายพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง
+ กลุ่มผู้แสวงหาผลประโยชน์ ได้แก่ นายธารา วานิชพงษ์พันธุ์
ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลจนสามารถทราบตัวบุคคลระดับ ผู้ผลิตแนวคิด/วิทยาการ และจับกุมตัวผู้ต้องหาระดับกลุ่มผู้ปฏิบัติการ ได้เพิ่มอีก 2 ราย ได้แก่
# ผู้ผลิตแนวคิด/วิทยาการ
ผู้ที่ใช้นามแฝงว่า “บรรพต” คือ นายหัสดิน อุไรไพรวัน จึงได้ออกหมายจับนายหัสดินฯ เป็นที่เรียบร้อย โดยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้มีการสนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านที่นายหัสดินฯ หรือบรรพต ใช้เป็นที่พักและ “ผลิตสื่อ” พบอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสื่อ ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค , อุปกรณ์การบันทึกเสียง , เอกสารร่างเพื่อใช้ในการบันทึกเสียง , เอกสารทางการเงิน เอกสารของกลุ่มเครือข่าย และแผ่นซีดีละเมิดลิขสิทธิ์จำนวนมากที่นายหัสดินฯ หรือบรรพต ใช้ทำสำเนา จำหน่ายให้กับกลุ่มแนวร่วมเมื่อเป็นทุนในการเคลื่อนไหว
“ประวัติ” ของบรรพต ตามแนวทางการสืบสวน ระบุว่า เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอมเมิร์ซ และไม่ได้จบการศึกษาปริญญาใดๆ นอกจากการไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในต่างประเทศ เมื่อกลับมาได้เข้าทำงานที่โรงแรมวินเซอร์ และย้ายที่ทำงานหลายครั้ง ต่อมานายหัสดินได้ร่วมกับนางสายฝน อินทรสร ผู้ต้องหาอีกคนหนึ่ง จัดตั้งบริษัท แต่ “ขาดทุน” จึงเลิกกิจการ
ต่อมาปี 2548 ได้ถูกฟ้อง “ล้มละลาย” นายหัสดินจึงไม่ได้ประกอบสัมมาชีพใดๆ นอกจากขอเงินจากบุตรทั้ง 3 คน ทั้งที่บุตรทั้ง 3 คนไม่เคยได้รับการเลี้ยงดูจากนายหัสดินตั้งแต่ยังเยาว์วัยเลย ปล่อยให้ภรรยาเก่าเป็นผู้เลี้ยงดู ขณะที่นายหัสดินกลับใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ใช้ของราคาแพง
เมื่อเกิดสถานการณ์ทางการเมือง นายหัสดินเคยไปร่วมชุมนุมของ “กลุ่ม นปช.” และมีความคิดต่อต้านสถาบันฯ จึงเลียนแบบการจัดรายการวิทยุของบุคคลต่างๆ อาศัยที่นายหัสดินเป็นผู้ติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆทางอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา จึงนำข้อมูลต่างๆมาเรียบเรียงและแต่งเรื่องเพิ่มเติมขึ้นใหม่ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง เพื่อให้มีเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจ แล้วชี้นำ “ปลุกระดม” ให้เกิดความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แสร้งทำเป็นบุคคลที่เทิดทูนต่อพระราชวงศ์บางพระองค์ เพื่อให้เกิดภาพว่าตนเองมีความจงรักภักดี
แต่ที่แท้จริงนายหัสดินมีทัศนะที่ต้องการล้มล้างสถาบันหลักของชาติ การเผยแพร่คลิปเสียงจึงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและใช้เวลาหลายปีจนถึงปัจจุบัน
นายหัสดินอวดอ้างกับเครือข่ายว่า ตนเองใช้ชีวิตหรูหราเพราะมีพื้นฐานทางครอบครัว แต่ที่แท้จริงเป็นบุคคลล้มละลาย หย่าขาดกับภรรยาคนแรกกว่า 30 ปี เนื่องจากภรรยาจับได้ว่านายหัสดินมีภรรยาคนใหม่ และนายหัสดินยังมีผู้หญิงอื่นอีกหลายคน เพื่อหลอกขอเงินใช้ รวมทั้งใช้ให้เครือข่ายตัวเองหลอกลวงบรรดาสมาชิกให้หลงเชื่อ
จัดทำสินค้า “ยาดมสมุนไพร” จำหน่าย เพื่อเอาเงินมาใช้ในการเช่าบ้านอยู่ และค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อสุราดื่มทุกวัน ทำให้นายหัสดินมีโรคประจำตัวหลายอย่าง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน และเป็นโรคปวดหลัง ขณะที่นายหัสดินกลับโฆษณากับสมาชิกว่าสมุนไพรที่ตนเองแนะนำรักษาได้ทุกโรค
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเรียนว่า นายหัสดินมิได้เป็นบุคคลที่มีอุดมการณ์ หรือเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีเทิดทุนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด ตรงกันข้ามนายหัสดินเป็นบุคคลที่เป็นภัยอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับบุคคลที่ใกล้ชิดและผู้ที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือ ทั้งจากการบริจาคเงิน หรือการโพสต์แสดงความคิดเห็นสนับสนุน จะถือว่ามีความผิดในฐานะผู้ร่วมในเครือข่ายบรรพตด้วย
# กลุ่มผู้ปฏิบัติการ
1.น.ส.สายฝน อินทสร เป็นผู้ดำเนินการเปิดบัญชีธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ชื่อบัญชี แววทราย อินทสร เพื่อให้ผู้อื่นโอนเงินมาช่วยเหลือการกระทำผิด และ 2.นายนที ผสมทรัพย์ เป็นผู้ส่งสินค้าและซีดีคลิปเสียงบรรพต โดยได้รับค่าจ้าง การกระทำของทั้ง 2 คน ถือเป็นการสนับสนุน ให้การช่วยเหลือผู้กระทำผิดในการโพสต์คลิปเสียงชื่อว่า “บรรพต”(Banpodj) ทางเวปไซต์เฟสบุ๊กที่ใช้ ชื่อว่า “บรรพต”(Banpodj) มีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท
ผู้ต้องหากับพวก ยังร่วมกันทำการอัพโหลดคลิปเสียง และโพสต์ต่อกันไปอีกหลายทอดในลักษณะของเครือข่ายกระจายกันออกไปทางสื่อสังคมออนไลน์ อันเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
ทั้ง นางสาวสายฝนฯ และนายนทีฯ มีความผิดฐานสนับสนุน ผู้กระทำผิดกรณี หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้นำตัวไปศาลทหารเพื่อฝากขังเรียบร้อยแล้ว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี