สอบพบแก๊งหมอหยอง
รีด100ล้าน
จากเจ้าของบริษัทใหญ่
ซื้อจักรยานจีนขายต่อ
ฟันกำไรช่วงปั่นเพื่อพ่อ
ราชทัณฑ์สั่งตรวจเข้ม
หวั่นผู้ต้องขังตายเพิ่ม
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ยืนยันว่ายังไม่มีการออกหมายจับเพิ่มเติมในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงที่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีผู้ต้องหาเบื้องต้น 3 ราย ประกอบด้วยนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ “หมอหยอง” หมอดูชื่อดังและนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ “อาท ชัตเตอร์มหาเทพ” เลขานุการของนายสุริยัน และ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือ “สารวัตรเอี๊ยด” สารวัตร กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(สว.กก.1 บก.ปอท.) ที่ผูกคอฆ่าตัวตายเสียชีวิตไปแล้ว ขณะเดียวกันมีรายงานว่าจากการสอบสวนพบว่ากลุ่มของนายสุริยัน มีการแอบอ้างเบื้องสูงแสวงหาผลประโยชน์จากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในการซื้อจักรยานมาจำหน่ายทำกำไรจากการจัดกิจกรรมปั่นจักรยาน “BIKE FOR DAD ปั่นเพื่อพ่อ” ด้วย
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ให้สัมภาณ์ เมื่อวันที่ 25ตุลาคม ว่า ขณะนี้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีดังกล่าวที่มี พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะ อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนขยายผล เพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงผู้เกี่ยวข้องรายอื่นๆ หากพบผู้ใดร่วมกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายทั้งหมด ไม่มียกเว้น แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับเพิ่มเติมแต่อย่างใด โดยในวันที่ 29 ตุลาคม นี้ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนจะมีการประชุมติดตามความคืบหน้าคดีนี้อีกครั้ง
ด้านแหล่งข่าวจากคณะพนักงานสืบสนสอบสวน เปิดเผยว่า จากการสอบสวนขยายผลพบพฤติการณ์ของนายสุริยัน และเครือข่าย มีการแอบอ้างเบื้องสูงไปเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทเอกชนหลายแห่ง เบื้องต้นพบว่ามีการแอบอ้างแสวงหาผลประโยชน์จากเจ้าของบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งเป็นจำนวนเงินกว่า 100 ล้านบาท โดยอ้างว่าจะนำไปจัดหาจักรยาน เพื่อนำมาใช้ในกิจกรรมปั่นเพื่อพ่อ โดยมีการเตรียมจัดซื้อจักรยานจากประเทศจีนเข้ามา
อย่างไรก็ตาม เจ้าของบริษัทดังกล่าวพบพฤติการณ์ว่านายสุริยัน และเครือข่าย หวังที่จะนำจักรยานดังกล่าวมาจำหน่ายต่อให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อแสวงหาผลกำไรให้กับตัวเองและเครือข่าย จึงมีการเปิดเผยเรื่องดังกล่าวขึ้นมา ก่อนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) จะตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมาสืบหาข้อเท็จจริง และพบว่าว่ามีมูล จึงกลายเป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้นายสุริยัน และเครือข่าย ถูกดำเนินคดี
วันเดียวกัน ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ มีสื่อมวลชนหลายสำนักมารอติดตามการนำศพ พ.ต.ต.ปรากรม เข้ามาชันสูตรที่สถาบันนิติเวช หลังจากที่ พ.ต.ต.ปรากรม พยายามผูกคอฆ่าตัวตายในเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี กองพันทหารพันราบมณฑลทหารบกที่ 11(พัน.ร.มทบ.11) ก่อนจะไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยไม่พบว่ามีญาติของ พ.ต.ต.ปรากรม มาติดต่อกับโรงพยาบาล และเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามเจ้าหน้าที่ได้รับคำตอบว่ายังไม่มีรายชื่อของ พ.ต.ต.ปรากรม แจ้งเข้ามาเพื่อชันสูตรแต่อย่างใด
ด้าน พล.ต.ต.พรชัย สุธีรคุณ ผบก.สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการประสานจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในการนำศพ พ.ต.ต.ปรากรม มาชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง แต่หากได้รับศพมา ตนจะเข้ามาทำหน้าที่ชันสูตรที่สถาบันนิติเวชวิทยาด้วยตัวเอง โดยยืนยันว่าจะดำเนินการตรวจสอบตามขั้นตอนของทางการแพทย์ และปฏิบัติต่อศพทุกศพอย่างเท่าเทียม
ขณะที่นายชาญเชาว์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับผิดชอบกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่านายสุริยัน เสียชีวิตขณะถูกควบคุมตัวอีกรายต่อจาก พ.ต.ต.ปรากรม ว่า ขณะนี้นายสุริยัน ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี ภายใน พัน.ร.มทบ.11 ไม่ได้มีอาการน่าเป็นห่วง และแม้จะมีกรณี พ.ต.ต.ปรากรม ผูกคอฆ่าตัวตายในห้องขัง แต่ไม่ได้มีการสั่งให้ปรับการดูแลหรือเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ผู้คุม แต่ย้ำให้ปฏิบัติตามระเบียบปกติ โดยเรือนจำชั่วคราวดังกล่าวยังมีผู้ต้องขังคดีระเบิดศาลพระพรหมแยกราชประสงค์รวมอยู่ด้วย จึงให้ปฏิบัติตามหลักการเดิม เพียงแค่ต้องตรวจสอบการเดินเวรยามของเจ้าหน้าที่ผู้คุมให้ครบตามเวลาอย่างเคร่งครัด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี