การพิสูจน์ความจริงอย่างเด็ดเดี่ยว

แนวหน้าสู้ไม่ถอย

แม้ไม่มีองค์กรใดยื่นมือช่วย

สุดท้าย‘ธรรมย่อมชนะอธรรม’

บทเรียนที่สื่อรุ่นหลังต้องเรียนรู้

ปฏิบัติการคุกคามหนังสือพิมพ์แนวหน้าจากระบอบทักษิณ ยังมีอย่างต่อเนื่อง หลังจาก นายทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางไปยังสนามกอล์ฟเดอะรอยัล เชียงใหม่ คันทรีคลับ เมื่อต้นปี 2544 พบกับนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้บริหารหนังสือพิมพ์แนวหน้า พร้อมขอร้องแกมบังคับ ไม่ให้น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เขียนบทความในหนังสือพิมพ์แนวหน้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และขอให้ปลด น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ออกจาก นสพ.แนวหน้าด้วย

แต่คำตอบอันหนักแน่นของนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ในขณะนั้นก็คือ การปฏิเสธ

ทั้งนำเอาภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะเจรจา กับนายวารินทร์ ในประเด็นของ น.ต.ประสงค์ ตีพิมพ์ผ่านสื่อแนวหน้าซึ่งเมื่อปรากฏพยานหลักฐานชัดก็ทำให้ระบอบทักษิณ ยิ่งเพิ่มดีกรีการคุกคามมากกว่าเดิม ถึงขั้นที่ นสพ.แนวหน้าและอีกหลายฉบับไม่ได้รับการอุดหนุนการโฆษณาจากภาครัฐ

ขณะเดียวกัน ผู้บริหารหนังสือพิมพ์ยังถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อมีเป้าหมายให้หวาดกลัวและเสียชื่อเสียง

ปฏิบัติการต่อมา ของระบอบทักษิณที่มีต่อ หนังสือพิมพ์แนวหน้า คือ การที่ตำรวจกองปราบฯ และกรมป่าไม้ ตั้งข้อสงสัยและเข้าไปตรวจสอบ เดอะเชียงใหม่ รอยัล คันทรีคลับ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ของตระกูล “พูนศิริวงศ์” เจ้าของหนังสือพิมพ์แนวหน้า

ความจริงเรื่องนี้ ตรวจสอบมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 และทุกอย่างถูกต้อง แต่เมื่อเข้าสู่ยุคทักษิณ กลับมีการตรวจสอบเดอะเชียงใหม่ รอยัล คันทรีคลับ อีกครั้งด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจกองปราบปราม เข้าไปในสนามกอล์ฟหลายครั้ง ในขณะที่นายตำรวจระดับสูงที่ใกล้ชิดกับนายทักษิณ นั่งเฮลิคอปเตอร์บินไปลงที่สนามกอล์ฟ บัญชาการตรวจสอบด้วยตัวเอง และครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธสงครามเคยเข้าไปตรวจสอบในวันขึ้นปีใหม่ เพื่อกลั่นแกล้งสร้างความแตกตื่นให้กับแขกที่เข้ามาพักผ่อน เป็นอย่างมาก

ต่อมามีการตั้งข้อหาใหม่ คือ บุกรุกถมลำห้วย ปิดกั้นทางสาธารณะ จนกระทั่งนำไปสู่การออกหมายจับคณะผู้บริหาร นสพ.แนวหน้า ถึงขั้นนายวารินทร์ ถอดใจบ่นอยากจะขาย นสพ.แนวหน้า ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ และว่าที่ถูกดำเนินคดีเนื่องจากไม่ยอมก้มหัวให้ใคร

และแล้วธรรมะย่อมคุ้มครองผู้บริสุทธิ์

จนกระทั่งวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2552นายจำนอง ปานทอง อัยการพิเศษประจำกรมสำนักงานอัยการเขต 5 รักษาการในตำแหน่งอัยการประจำจังหวัดเชียงใหม่มีหนังสือที่ อส.(ชม)0038/1947 แจ้งมายังนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ถึงคดีดังกล่าวว่า

พนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนายองอาจ จาตุรงค์กุล ผู้ต้องหาที่ 1,บริษัท เดอะรอยัลเชียงใหม่คันทรีคลับ จำกัดผู้ต้องหาที่ 2, นายสินธุ พูนศิริวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 4, นางผาณิต พูนศิริวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 5,นางสาววรินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 6 ฐานร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดิน ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,180 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ข้อ 11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

ส่วนนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 3 นั้น อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง และไม่อนุญาตให้ฟ้องผู้ต้องหาที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันยึดถือ ครอบครองที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ

สิ่งเหล่านี้ เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าผู้บริหารหนังสือพิมพ์แนวหน้า ไม่ได้มีการกระทำผิดตามที่ระบอบทักษิณ พยายามจะยัดเยียดให้ผิด

กระนั้นก็ตามแรงอาฆาตของระบอบทักษิณที่มีต่อ หนังสือพิมพ์แนวหน้าไม่ได้หยุดลงแค่นี้ ประเด็นสนามกอล์ฟ ยังถูกแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงไปปราศรัยโจมตีบนเวทีหลายครั้งเพื่อดิสเครดิตผู้บริหารหนังสือพิมพ์แนวหน้า

โดยเฉพาะ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เจ้าของคอลัมน์ “น.ต.ประสงค์พูด” ในระหว่างนั้นถูกนายทักษิณ ชินวัตร ฟ้องคดีต่อศาลอาญาข้อหาหมิ่นประมาทหลายคดี อาทิที่ศาลจังหวัดตะกั่วป่า พังงา ศาลจังหวัดสวรรคโลก สุโขทัย แต่ท้ายที่สุดคำพิพากษาศาลฎีกายกฟ้องทุกคดี ที่มีคำอธิบายคล้ายๆกันคือ เป็นการนำเสนอข่าวประโยชน์แห่งสาธารณะ

ทั้งนี้ จากการต่อสู้ของหนังสือพิมพ์แนวหน้า ที่ผ่านมาถูกฟ้องร้องกว่า 17 คดีและทางหนังสือพิมพ์แนวหน้าได้เดินหน้าพิสูจน์ความจริงอย่างต่อเนื่อง

แค่นั้นยังไม่พอ ช่วงกันยายน 2552นายทักษิณ ชินวัตร ที่ยังหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศกล่าวปราศรัยผ่านวีดีโอลิงค์ไปยังเวทีคนเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ โดยอ้างลอยๆลูกชายเจ้าของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้มาบอกว่าคุณพ่อได้ไปกินข้าวกับองคมนตรีเพื่อหาทางร่วมมือกันโค่นล้มตัวเขา ซึ่งเรื่องดังกล่าว นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเอเอสทีวี-ผู้จัดการ และบุตรชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุลผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ก็ได้ออกมาปฏิเสธในเรื่องดังกล่าว

ในขณะที่ นายผรณเดช พูนศิริวงศ์กรรมการผู้จัดการบริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด บุตรชายของนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ประธานหนังสือพิมพ์แนวหน้า ได้ให้สัมภาษณ์ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ทางรายการ “รู้ทันประเทศไทย” ของเอเอสทีวี ว่า โดยทางส่วนตัวแล้ว ไม่เคยรู้จักกับพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นนักโทษชายเคยแต่ทางที่บ้านคือคุณพ่อ ท่านประธานวารินทร์ โดนกลั่นแกล้ง แต่ไม่มีการพูดคุยและก็ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใดซึ่งเท่าที่ฟังโฟนอินดูก็เห็นว่า (พ.ต.ท.ทักษิณ)เป็นคนพูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย

“ยืนยันว่า ต่อตัวไม่เคยคุยกันเลย อาจเจอกันที่งานก็ผ่านๆ กัน ไม่เคยคุยกันแล้วก็ไม่อยากคุยด้วย เราไม่ต้องการจะคุยกับคนที่ไม่บริสุทธิ์ต่อประเทศชาติครับ” นายผรณเดช ยืนยัน ทั้งย้อนอดีตในสิ่งที่หนังสือพิมพ์แนวหน้า ถูกคุกคาม โดยเฉพาะการถูกนายทักษิณ และบริวารฟ้องคดีถึง 17 คดี

นายผรณเดช ยังระบุด้วยว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยขอซื้อกิจการหนังสือพิมพ์แนวหน้า แต่ถ้าซื้อท่านประธานก็คงไม่ขาย เพราะหนังสือพิมพ์แนวหน้า จะอยู่เคียงข้างกับประชาชนในการตรวจสอบรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ด้วยนโยบาย “มั่นคง ตรงไปตรงมา”

อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่หนังสือพิมพ์แนวหน้า ถูกคุกคาม ไม่มีองค์กรด้านสื่อมวลชนใด ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ และหนังสือพิมพ์แนวหน้าได้ยืนหยัดต่อสู้ตามลำพังมาตลอด จนเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะมาแล้ว

ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนผ่านมาถึงปัจจุบัน สื่อมวลชนยังทำหน้าที่เพื่อสาธารณะต่อไป แต่ในขณะที่บางสำนัก มีการเลือกข้างอย่างชัดเจน ไม่ปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมในการนำเสนอข่าว เป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้สังคมแตกแยกจนถึงทุกวันนี้ และยังเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศชาติ ดังเหตุผลที่ นายผรณเดชพูนศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการ นสพ.แนวหน้าแจ้งขอลาออกจากสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป

สิ่งเหล่านี้จะเป็นประวัติศาสตร์ในวงการสื่อ ให้สื่อรุ่นหลังได้คิด ได้ปรับปรุงการเสนอข่าวด้วยความบริสุทธิ์ ปกป้องประโยชน์แห่งสาธารณะ ตีแผ่ความจริงให้สังคมรับรู้ ไม่มีประโยชน์แอบแฝง ยังถือเป็นสัจธรรม ที่คุ้มครองสื่อให้อยู่รอดปลอดภัย ได้ตลอดกาล