คสช.แจ้งจับ7แกนนำ
ผิดม.116
ชุมนุมอยากเลือกตั้ง
ให้มารับข้อกล่าวหา2กุมภาพันธ์
ผบ.ตร.สั่งเช็คเส้นทางเงินหนุน
อดีตสส.ตั้งพรรค‘พลังพลเมือง’
“บิ๊กตู่” โอดรับศึกหนักเหลือเกิน ยกไม่ต่างกับทหารผ่านศึก แต่ศึกยังไม่จบ ปัดแก้ตัว ย้ำขอเวลาวางรากฐานให้ประเทศ สัญญาคืนความสุข จะคืนในสิ่งที่ให้ได้ก่อน คสช.ปัดกลั่นแกล้ง แจ้งเอาผิด 7 แกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวต้องการเลือกตั้ง ยันละเมิด กม.ชัดเจน ตร.ออกหมายเรียกทั้ง 7 แกนนำ รับข้อหาหนัก 2 กุมภาพันธ์ไม่มาเจอหมายจับผบ.ตร.ลั่นเอาจริงทำผิดกฎหมาย สั่งเช็คเส้นทางการเงิน กลุ่มหนุน ขณะอดีต สส.จัดตั้งพรรค’พลังพลเมือง’ชูทางเลือกผ่าทางตันการเมือง
เมื่อเวลา 09.00น.วันที่ 30 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.)เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)โดยก่อนการประชุม คุณหญิงแสงเดือน ณ นคร ประธานมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีนำคณะกรรมการฝ่ายจำหน่ายดอกไม้เข้าพบนายกฯเพื่อมอบดอกป๊อบปี้เนื่องในวันทหารผ่านศึก 3กุมภาพันธ์
โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าสิ่งที่ทำไว้ถือเป็นประโยชน์ ขอให้เป็นกำลังใจให้ทหารผ่านศึก วันนี้เรามีหลายภารกิจด้วยกันแต่อาจไม่ใช่ภารกิจแบบเดิมที่ไม่ใช่การสู้รบแต่เป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆรูปแบบต่างๆอย่างปัญหาภัยยาเสพติด ที่มีการปะทะจนเกิดการสูญเสีย รวมถึงการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ขอเป็นกำลังใจทุกคนทำงานต่อไปเพื่อประชาชนซึ่งโรงเรียนเตรียมทหาร สอนให้เราทำเพื่อคนอื่น ขณะที่ คุณหญิงแสงเดือนกล่าวให้กำลังใจนายกฯว่า ประเทศเป็นชาติ ทหารเป็นรั้ว นายกฯดูแลบ้านเมือง มูลนิธิจะดูแลครอบครัว ซึ่งนายกฯได้กล่าตอบว่า”ผมก็ทหารผ่านศึกเหมือนกัน แต่ศึกยังไม่จบนะ ศึกหนักเหลือเกิน”ก่อนที่นายกฯเดินขึ้นห้องประชุมครม.
ยืนยันจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้แถลงภายหลังประชุมครม.ถึงความเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล คสช.และเรียกร้องการเลือกตั้งหลังโรดแม็ปถูกเลื่อนออกไป 90วันว่า อาจมีเหตุผลความจำเป็นหลายอย่าง แต่ตนรับฟังทุกส่วนต้องทำความเข้าใจว่า มีผลดี ผลเสียกับใครบ้าง แต่ไม่ได้เป็นผลดีกับรัฐบาลซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมาย ส่วนที่มองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสอดรับกับคำเตือนของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษที่ให้ระวังกองหนุนลดลงนั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติในการเป็นรัฐบาลมาเกือบ 4 ปี ก็มีปัญหาเช่นนี้มาทุกรัฐบาล ที่มีจุดอ่อนมากขึ้น เพราะยิ่งทำงานมากปัญหาก็มากขึ้น ขณะที่คนที่เคยอยู่ตรงกลาง ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คนเหล่านี้ ก็อยากให้ทุกอย่างราบรื่นในทางที่ดีที่สุด จึงอาจมีความรู้สึกไม่ดีกับรัฐบาลก็เป็นธรรมดา แต่ยืนยันจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
มุ่งทำงานอย่ามองสืบทอดอำนาจ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงที่มองว่ารัฐบาลอยู่ในช่วงขาลงนั้นว่าตนเข้าใจเรื่องระยะเวลาในการทำงานอาจมีความขัดแย้งสูงมีคนได้และเสียประโยชน์และอยากเปลี่ยนแปลงแล้วเมื่อผ่านมากว่า3ปีจึงต้องไปดูว่ากลุ่มใดเดือดร้อนและเป็นตัวตั้งตัวตีแต่ตนไม่ไปขัดแย้งกับใคร ขอมุ่งมั่นทำงานดูแลประชาชนดังนั้นนโยบายต่างๆในช่วงปีนี้ อย่ามองว่ารัฐบาลทำเพื่อสืบทอดอำนาจ เพราะเป็นการทำงานตามโรดแม็ป ในปีนี้เป็นปีสุดท้ายตามโรดแม็ป จึงมีโครงการไทยนิยมยั่งยืนหมายถึงการนิยมความดีความงามในทุกเรื่องโดยรัฐบาลมุ่งหวังวางรากฐานให้กับประเทศและขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลต่อไปจะทำอย่างไร
“ผมยังไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากที่จะเลื่อน หรือไม่เลื่อน ยืนยันว่าโรดแม็ปของผมเดิมที่กำหนดไว้ ถ้าไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นทั้งเรื่องกระบวนการกฎหมาย มันก็ต้องเป็นไปตามนั้น และผมไม่เคยก้าวล่วงใครทั้งสิ้น บางเรื่องต้องขอให้มีการพิจารณา ถ้าไม่ตรงกับความต้องการของคนบางกลุ่ม บางฝ่ายก็อาจไม่พอใจ อยากให้ใช้คำสั่งตามมาตรา44ส่วนบางเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์ก็หาว่าไปละเมิดคนนั้นคนนี้ ไม่มีความพอใจเท่าที่ควรจะเป็น”พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำ
ขอเวลาวางรากฐานประเทศ
เมื่อถามว่าประชาชนเริ่มทวงถามสัญญาของนายกฯ มากขึ้นและมีการเทียบกับเนื้อเพลง“เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน”พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า”เรื่องสัญญา เนื้อเพลงทุกอย่าง จับเป็นประเด็นได้หมด สัญญาคืนความสุขของผม คือความสุขของประชาชนทุกกลุ่ม บางความสุขผมก็คืนให้ได้ทันที บางความสุขยังไม่ได้ มันเป็นเรื่องกลไกในการแก้ปัญหาในการคืนความสุขต่อๆ ไปในรัฐบาลนี้และรัฐบาลหน้า แล้วบอกว่าผมไม่คืนความสุข แล้วจะคืนได้ไหม ปัญหาร้อยแปดพันเก้า ทุกคนจึงต้องช่วยแก้และขอให้เข้าใจ ผมไม่ได้แก้ตัว แต่บ้านเมืองสงบเรียบร้อยขึ้นไหมตอนนี้มีความสุขไหม เศรษฐกิจดีขึ้นไหม อันนี้ ไม่ใช่ความสุขเหรอแม้จะไม่มากนักมันก็เป็นความสุขนี่คือ สัญญาของผม ผมก็คืนให้ในสิ่งที่ให้ได้ก่อน อันไหนที่ยังไม่ได้ รัฐบาลต่อไป ก็ต้องไปทำต่อ ไม่ใช่ โจมตีกันไปกันมาวันนี้ และวันหน้ารัฐบาลใหม่ เข้ามาจะทำอย่างไรต่อไป ไม่เคยเสนอให้เลยเห็นแต่ตีรัฐบาลอย่างเดียว ถือว่าไม่เป็นธรรม จึงขอให้สื่อช่วยดูแลประเทศชาติด้วย หากจะพูดถึงเพลงก็เอาแค่ตอน ขอเวลาอีกไม่นาน ถ้าผมจะเอาตอนจบของผม คือ แผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมาก็ได้ ความหมายมันสมบูรณ์ในนั้นอยู่แล้ว”
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังย้ำทิ้งท้ายว่าทั้งนี้ขออย่าเพิ่งหมดกำลังใจกับตนและรัฐบาล คสช.เพราะพยายามทำอย่างเต็มที่ หากเรื่องใดมีปัญหา ตนต้องรับผิดชอบอยู่แล้วแต่ขอให้เห็นใจบ้างในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้และขอให้แยกแยะประเด็นต่างๆออกจากกัน ขอย้ำว่าไม่ได้แก้ตัวแต่ขอเวลาให้ตนวางรากฐานประเทศสักระยะหนึ่งก่อน ส่วนจะมากหรือจะน้อยก็เป็นไปตามกฎหมาย
หมายเรียก7แกนนำรับข้อหา2ก.พ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่สน.ปทุมวัน พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมายส่วนงานการรักษาความสงบแห่งชาติ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สมัคร ปัญญาวงศ์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ปทุมวัน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง รวม7คนประกอบด้วยนายรังสิมันต์ โรม นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว น.ส.ณัฎฐา มหัทธนา นายอานนท์ นำภา นายเอกชัย หงส์กังวาน นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณและนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ที่ออกมาเคลื่อนไหว วันที่ 25มกราคม เวลา21.00น.และวันที่ 27มกราคม เวลา 19.00 น.ที่บริเวณสกายวอล์ค แยกปทุมวัน ถนนพระราม1แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คนและยุยง ปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา116
ทั้งนี้พ.ต.ท.สมัคร กล่าวว่า ได้รับแจ้งความไว้แล้วโดยจะออกหมายเรียกครั้งแรกกลุ่มเคลื่อนไหวทั้ง7คน ให้เข้าพบ ในวันที่2กุมภาพันธ์นี้ เพื่อเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา และหากหลังจากออกหมายเรียก 2ครั้งแล้ว ยังไม่เข้าพบพนักงานสอบสวน จะออกหมายจับทั้ง 2ข้อหาต่อไป
คสช.ปัดแกล้งยันละเมิดกม.ชัดเจน
มีรายงานข่าวว่า ภายในคำบรรยายแจ้งความได้ระบุว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คนว่ามีพฤติกรรมในการกระทำอย่างไรในวันที่นัดร่วมตัวเคลื่อนไหวกันก่อนหน้านี้ ได้โพสต์ข้อความเชิญชวนให้กลุ่มของตนเองและประชาชนที่มีแนวความคิดเหมือนกัน มาเข้าร่วมทำกิจกรรมชุมนุมต่อต้าน คสช.ซึ่งในการแจ้งความดำเนินคดีครั้งนี้ เป็นไปตามกฎหมายทุกอย่าง ทำผิดกฎหมายก็ต้องว่ากันไปตามกฏหมาย คนเป็นแกนนำต้องรับผิดชอบ รู้อยู่แล้วว่ากฎหมายกำหนดว่าอย่างไร แต่จงใจในการละเมิดกฎหมาย ออกมาปลุกปั่นยั่วยุให้มีความเกลียดชั่ง ทั้งนี้การบังคับใช้กฎหมายก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้งแต่อย่างใด
‘บิ๊กป้อม’ลั่นเดี๋ยวจัดการ’โรม’เอง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแจ้งความดำเนินคดีกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยนำโดย นายรังสิมันต์ โรมและนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ที่เคลื่อนไหวแสดงพลังอยากเลือกตั้และต่อต้านการสืบทอดอำนาจคสช.ว่า เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง ที่ต้องดูแลให้เกิดความสงบ ทุกอย่างต้องทำตามกฎหมายและตามคำสั่ง คสช.ตอนนี้เราเป็นรัฏฐาธิปัตย์ จะเอาอะไร ส่วนที่กลุ่มผู้ชุมนุมระบุจะชุมนุมอย่างต่อเนื่องเกรงว่าจะลุกลามหรือไม่นั้น เบื้องต้นพบอยู่เพียงกลุ่มเดียวที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ส่วนผู้ชุมนุมระบุว่าจะชุมนุมต่อไปจนถึงวันที่ 22พ.ค.ทางฝ่ายความมั่นคงเตรียมมาตรการดูแลอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่าเดี๋ยวตนเตรียมจัดการเอง สื่อต้องการความสงบหรือไม่ ถ้าต้องการก็เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคง ที่ต้องดูแลเรื่องความสงบ
พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆที่มีมากขึ้นเรื่อยๆในขณะนี้ว่า ตราบใดที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพ สามารถดำเนินการได้ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ พร้อมจับตาการเคลื่อนไหวกันหลายกลุ่มกำลังตรวจสอบอยู่
ผบ.ตร.ลั่นจริง/สั่งเช็คเส้นทางเงิน
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหณกุล รองผบ.ตร.พิจารณาว่าการชุมนุมเคลื่อนไหวดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือขัดคำสั่ง คสช.หรือไม่ โดยตำรวจมีข้อมูลทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนหน้าเดิมๆจึงเตือนไปยังกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวว่ากฎหมาย ล้อเล่นไม่ได้ หากการชุมนุมใด ที่ขัดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมดที่ผ่านมาจะเห็นว่าแกนนำไม่ว่าม็อบใดสีใดหากทำผิดก็ถูกดำเนินคดี ส่วนจุดยืนผู้ชุมนุมจะออกมาเคลื่อนไหวทุกวันเสาร์นั้น ไม่ทราบ หากทำผิดกฎหมาย ต้องดำเนินการ นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ตรวจสอบท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวให้ครอบคลุมทุกมิติ เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้พูดเน้นย้ำเรื่องโรดแมป อยากให้บ้านเมืองเดินหน้า
ออกหมายเรียก7รายเคลื่อนไหว
ด้านพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร.ยืนยันว่าตำรวจได้ออกหมายเรียก7ผู้ร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย เมื่อวันเสาร์ที่27มกราคม บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า แยกปทุมวันโดยตัวแทนฝ่ายกฎหมายของ คสช.นำหลักฐานเข้าแจ้งความร้องทุกข์ กล่าวโทษในความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา116 ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ฉบับที่3 เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง และความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมฯ โดย ยืนยัน ตำรวจยึดหลักกฎหมาย มั่นใจมีหลักฐานเชื่อมโยงผู้สนับสนุนมากกว่า7คนจะตรวจสอบกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนทุกมิติ บ้านเมืองมีกฎหมายและบริเวณที่เคลื่อนไหว ยังเป็นพื้นที่ไม่เหมาะสมใกล้เคียงเขตพระราชฐานเป็นพื้นที่ห้ามชุมนุม ยืนยันว่าชุมนุมได้ แต่ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง ถ้าผิดก็ต้องดำเนินคดี
จ่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มมากกว่า7คน
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ก็ว่าไปตามขั้นตอนของกฎหมาย คือการออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา จากการสืบสวนในชั้นนี้ น่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมมากกว่า 7 คนนี้ แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่ามีกี่ราย
มีรายงานระบุว่า บุคคลที่ถูกตำรวจออกหมายเรียกทั้ง7คนประกอบด้วยนายรังสิมันต์ โรม,นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์หรือจ่านิว,นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล,นายอานนท์ นำภา,นายเอกชัย หงส์กังวาน,นายสุกฤษฎ์ เพียงสุวรรณและ นางนัฎฐา มหัทธนา
คสช.เมิน26อาจารย์ มธ.จี้ทบทวน
ด้าน พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่11 (ผบ.มทบ.11)ในฐานะทีมโฆษก คสช.กล่าวถึงที่คณะอาจารย์ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต26คนนำโดยนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รักษาการ รองอธิการบดี ฝ่ายความยั่งยืน และบริหารศูนย์รังสิต ร่วมเข้าชื่อ ยื่นหนังสือต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ขอให้ทบทวนการดำเนินการกับผู้จัดกิจกรรมทั้ง8คนและผ่อนปรนการแสดงออกของประชาชนอย่างสันติในขอบเขตของกฎหมายปกติว่า มูลเหตุเริ่มต้นจากกลุ่มองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนในนาม People Go networkจัดกิจกรรมบริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เป็นเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้อง มีการกล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาล และคสช.จากนั้น ผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 4 ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษตามคำสั่ง คสช.ที่3/2558ฐานร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆที่มีจำนวนตั้งแต่5คนขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช.
“การที่คณะอาจารย์ มีหนังสือให้พิจารณาทบทวนจึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ครูอาจารย์ผู้ซึ่งเป็นขุมพลังปัญญาและสามารถชี้แนะการปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมให้แก่นิสิตนักศึกษาและสังคมใช้บรรยากาศการปรองดองความร่วมมือใช้สติปัญญาหันหน้าพูดคุยเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมกับบรรยากาศของบ้านเมือง”
ย้ำทุกคนอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน
“ในการกำหนดบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญใหม่ที่ให้มาตรา44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวยังมีผลบังคับใช้ เป็นเครื่องแสดงเจตนาที่ชัดเจนว่าประเทศยังมีความจำเป็นในการมีกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบและความมั่นคงภายในอยู่ ส่วนใครใดจะตีความเช่นไรก็เป็นการเสนอความเห็นที่กระทำได้แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้กฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์จึงอยากร้องขอให้การแสดงออกทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ไม่ควรมีการเรียกร้องหรือขอข้อยกเว้นว่าให้ใช้กฎหมายเฉพาะรูปแบบหนึ่งใดเท่านั้น ทุกคนควรอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม อีกทั้งผู้ดำเนินกิจกรรมย่อมรู้อยู่แก่ตนเองว่ากิจกรรมที่ดำเนินการอยู่ เหมือนหรือแตกต่างจากกิจกรรมรณรงค์ประเด็นทางสังคมอื่นหรือไม่”พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ พล.ต.ปิยพงศ์ ยืนยันว่า ก่อนที่คสช.จะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดี ได้มีการสังเกตการณ์ รวมทั้งพูดคุยเจรจา ขอความร่วมมือ เพื่อไม่ให้มีการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่เมื่อทางกลุ่มฯ ยังยืนยันที่จะทำต่อไป คสช.จึงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากสนับสนุนให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายซึ่งผู้จะพิจารณาว่าจะมีการดำเนินคดีหรือไม่อย่างไร ขึ้นกับกระบวนการทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมซึ่ง คสช.จะไม่ก้าวล่วง
อดีตสส.จัดตั้ง’พรรคพลังพลเมือง’
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงเรียนอนุบาลเลิศนุวัฒน์ มีการแถลงข่าวเปิดตัวการจัดตั้ง พรรคการเมืองใหม่ใช้ชื่อว่า‘พรรคพลังพลเมือง’โดยมี อดีตสส.ที่เคยสังกัดพรรคความหวังใหม่และพรรคไทยรักไทย นำโดยนายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายเอกพร รักความสุข อดีต รมช.แรงงานฯ นายเกียรติชัย ชัยเชาวรัตน์ อดีต รมช.มหาดไทย นายกริช กงเพชร อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร นพ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล อดีต รมช.พาณิชย์ นายมงคล จงสุทธนามณี อดีตส.ส.เชียงรายและน.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ อดีตส.ส.กรุงเทพฯเป็นต้น
โดยนายสัมพันธ์แถลงว่าได้มีการหารือกับอดีต ส.ส.มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เริ่มเตรียมการทางธุรการตามคำสั่ง คสช.ที่53/2560ที่ให้เตรียมการด้านธุรการได้ ซึ่งพรรคจะเป็นทางเลือกใหม่ให้ประชาชน จะมีอดีต ส.ส.จากทุกภาคประมาณ 30คน ร่วมกันก่อตั้งพรรค ในวันที่ 1มีนาคมนี้ จะไปจดทะเบียนพรรคการเมืองตามที่คำสั่ง คสช.53/2560 ที่เปิดทางให้ทำได้ คาดหวังว่าหลังเลือกตั้งพหวังจะได้ส.ส.ไม่น้อยกว่า 20คนพอจะทำงานในสภาผู้แทนราษฎรและเสนอกฎหมาย
ปัดพรรคนอมินี/ไม่ปิดกั้นคนนอก
“ยืนยันว่าพรรคตั้งขึ้นมาเพื่อประชาชน ไม่ได้เป็นนอมินีของพรรคใด ไม่ใช่พรรคนอมินีของพรรคเพื่อไทย เพราะเบื่อหน่ายกับพรรคการเมืองที่มีนายทุน เป็นเจ้าของพรรค นโยบายของพรรคไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาล หากเป็นฝ่ายค้านก็พร้อมทำงาน แต่ไม่ขอบอกว่าจะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรีรวมทั้งไม่ปิดทางจะสนับสนุนคนนอก เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นแนวทางที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและมี 3 รายชื่อบุคคลที่สมควร เป็นนายกรัฐมนตรีตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดขณะที่หลายฝ่ายมองว่าจะสนับสนุน คสช.นั้นแล้วแต่คนจะมอง แต่” นายสัมพันธ์ ย้ำ
‘เอกพร’หวังแก้ทางตันการเมือง
ด้านนายเอกพร กล่าวเสริมว่า พรรคจะแก้ปัญหาทางตันทางการเมืองของประเทศไทย ที่วนเวียนกับการเลือกตั้งและการทำรัฐประหารโดยจะสร้างความเชื่อมั่นให้ระบบการเมือง ด้วยคำขวัญที่ว่า”พลังคนไทย ก้าวต่อไปที่มั่นคง”จะยกร่างนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน รวมทั้งจะเป็นพรรคการเมือง ที่ฟังเสียงประชาชนด้วย ต้องยอมรับว่าบ้านเมืองประสบปัญหามายาวนานกว่า3ปี การพบปะกันของนักการเมืองรุ่นเก่าจึงมีแนวความคิดที่จะตั้งพรรคพลังพลเมืองเพื่อแก้ปัญหาทางตันของประเทศ ที่วนเวียนกว่า 20 ปี พรรคการเมืองนี้จะทำให้บ้านเมืองหลุดจากทางตัน พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น คนจนไม่กระจุก ประชาชนจะไม่ถูกเอาเปรียบ พรรคพลังพลเมือง จะเป็นรัฐบาลที่ฟังเสียงประชาชน ประชาชนสามารถสะท้อนเรื่องราวได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี