16 ก.ย. 61 นายศักดา นพสิทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภายหลังมีการประกาศ พรบ.การเลือกตั้ง ส.ส. และพรบ.การได้มาซึ่ง สว.ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว การเลือกตั้งยิ่งมีความชัดเจนยิ่งขึ้น จากกรณีนี้ส่งผลให้การประกาศขยายตัวทางธุรกิจภาคเอกชนเริ่มมีความตื่นตัวสูงขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นและตลาดการลงทุน ก็แสดงการตอบรับการเลือกตั้งด้วย นี่จึงเป็นสัญญาณแจ้งเตือนให้รัฐบาล ควรรับฟังว่า การเลือกตั้งเป็นรูปแบบและแนวทางการนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและเติบโต ตามหลักสากล การเข้าบริหารประเทศด้วยการใช้กำลังเข้ายึดหรือการรัฐประหาร โดยประชาชนไม่มีส่วนร่วมนั้น สุดท้ายจะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า และเป็นที่พอใจของประชาชนไม่ได้
นายศักดา กล่าวว่า ตลอดเวลาที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจและเข้ามาบริหารประเทศ ได้ใช้เงินงบประมาณที่มาจากภาษีของพี่น้องประชาชน เป็นจำนวน 11,324,000,000 บาท(อ่านว่า สิบเอ็ดล้านสามแสนสองหมื่นสี่พันล้านบาท) ซึ่งยังไม่รวมเงินงบประมาณอีก สามล้านล้านบาท ที่เพิ่งผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ไปเมื่อเร็วๆนี้ เงินงบประมาณจำนวนมากมหาศาลและสูงเป็นประวัติการณ์นี้ มีความคาดหวังว่า จะทำให้ประเทศมีสาธารณูปโภค ครบถ้วนทุกหนทุกแห่ง การขยายตัวทางเศรษฐกิจประเทศโดยรวมและทั่วถึงยิ่งขึ้น ประชาชนจะมีความสุข แต่ตรงกันข้ามทุกวันนี้ ประเทศยังไม่มีสิ่งที่ดีใหม่ที่มาจากการบริการของรัฐบาลนี้ ภาคอุตสาหกรรมไม่ขยายตัว อสังหาริมทรัพย์ไม่เติบโต ไม่มีการทุน รวมถึงการค้าขายของประชาชนก็มีแต่ความซบเซา ได้ยินคำถามจากพี่น้องประชาชนบ่อยครั้ง ว่า ที่รัฐบาลบอกว่าเศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้น แต่ทำไม่เงินในกระเป๋าไม่มี และจากรายงานการใช้งบประมาณของรัฐบาลนี้ พบว่ามีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในงบประมาณปกติ และนอกงบประมาณ ตัวเลขหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น
“สถาบันการเงินของรัฐมีภาระหนี้ ความเสียหายจากโครงการภาครัฐ รวมถึงรัฐวิสาหกิจก็ไม่สามารถหารายได้เข้ารัฐได้เพียงพอ ทั้งการจัดเก็บภาษีของรัฐก็น้อยกว่าการใช้งบประมาณ โดยเฉพาะแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ก็มีแต่รายการการใช้จ่ายงบประมาณ แทบจะไม่มีแผนงานในการหารายได้เลย และข้อสังเกตคือ รัฐบาลนี้ใช้เงินงบประมาณ นับแสนล้านกับโครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยไม่คำนึงถือ ระเบียบวินัยการเงินการคลัง ที่กฎหมายกำหนด จึงมีคำถามว่า การใช้เงินดังกล่าว เป็นการใช้เงิน เพื่อซื้อเสียงล่วงหน้าหรือไม่ นายศักดา กล่าวในประเด็นนี้ว่า จากการบริหารประเทศและบริหารงบประมาณ ของนายกรัฐมนตรีรูปแบบทหารหรือไม่ ที่มีผลโพลสำรวจความพอใจของนายกรัฐมนตรี ลดน้อย ถอยลง เป็นลำดับ มาโดยตลอด” อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว
นายศักดา กล่าวว่า ฝ่ายนิติบัญญัติ ขณะนี้ ไม่ควรทำหน้าที่ออกหมายเพื่อให้มากฉบับมาบังคับใช้ประชาชน อย่างเดียว ควรให้ความสำคัญ กับหน้าที่และบทลาทการตรวจสอบการบริหารราชการของรัฐบาลด้วย ซึ่งมีหลายกรณีที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา บริหารราชการและใช้งบประมาณ อย่างมีข้อสงสัย เช่น ความจำเป็นในการซื้อเรือดำน้ำ แต่ไม่มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนใด ตรวจสอบและซักถามแทนประชาชน หรือเพราะมาจากการแต่งตั้ง จึงกลัวว่าจะถูกปลด ทำให้ละเลยต่อการทำหน้าที่นี่ และกรณีดังกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นความเป็นอัตลักษณ์ การบริหารประเทศ แบบฉบับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากประชาชน
“ผมเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา มีความรักชาติ รักสถาบัน และรักประเทศ เพราะเคยเป็นทหารมาก่อน แต่เพียงยังมีความเข้าใจเรื่องการมีส่วนร่วมน้อยกว่าที่ควร การคำนึงถึงแต่ความมั่นคง จนละเมิดต่อการมีสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีมองข้าม การคงมีคำสั่งห้ามพรรคการเมืองและห้ามประชาชนชุมนุม ถือเป็นการจำกัด สิทธิ และเสรีภาพ ซึ่งขัดต่อหลักการสากล อยากให้นายกรัฐมนตรีทบทวนกรณีนี้ และไม่อยากให้แสดงความรักประเทศชาติ ด้วยการผูกขาดอำนาจไว้ผู้เดียว” อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี