25 ก.ย.61 ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 และต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสองหรือไม่
โดยศาลได้ให้พยาน 3 ปาก คือ นายมนัส สุขสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวของสำนักงาน กกต. , นายภัฏฏการก์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปานะวงศ์ รีแอลที่ จำกัด และนายตรีวัฒน์ ทังสุบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปานะวงศ์ จำกัด เข้าไต่สวน โดยนายดอน และนายเสรี สุวรรณภานนท์ ทนายความของนายดอน ได้เข้าร่วมรับฟังและซักถามพยานด้วย
ทั้งนี้ ในการไต่สวนศาลได้พยายามสอบถามเรื่องของข้อบังคับบริษัทเกี่ยวกับการโอนหุ้น การลงรายการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในสุมดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท การมีหนังสือนำส่งรายงานการโอนหุ้นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพานิชย์ และการจัดประชุมสามัญและวิสามัญประจำปีของบริษัทที่มีข้อสังเกตว่าวาระการประชุมของปี 2557 - 2559 มี 5 วาระทีดำเนินการเป็นประจำในทุกปี โดยไม่พบว่ามีเรื่องการรับรองการแจ้งเปลี่ยนแปลงผู้มีถือหุ้นเลย แต่มาพบเป็นวาระการประชุมเดียวในวาระการประชุมวิสามัญของปี 2560
นายมนัส ในฐานะประธานคณะกรรมการไต่สวนคดีนี้ของ กกต.ชี้แจงว่า ในการสอบสวนเมื่อมีเหตุสงสัยเรื่องพยานเอกสารได้ให้โอกาสนายดอน ผู้ถูกร้องมาชี้แจงหลายครั้งแต่ไม่มาส่งเป็นเอกสารมาเท่านั้น โดยพยานเอกสารที่นายดอนส่งมาแม้จะเป็นหนังสือของ นางนรีรัตน์ ปรมัตถ์วินัย (ภรรยา) ที่แสดงเจตนาโอนหุ้นให้ นายเพื่อน ปรมัตถ์วินัย (บุตรชาย) ในวันที่ 10 เม.ย.60 และมีการโอนหุ้นในวันที่ 27 เม.ย.และวันที่ 30 เม.ย.60 ถ้ามีการดำเนินการจริงในวันเวลาดังกล่าว ทำไมจึงไม่มีการแจ้งให้ ป.ป.ช.ได้รับทราบ และแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในบริษัทแล้ว
ขณะเดียวกันกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และประธาน ป.ป.ช.แจ้งมาเมื่อวันที่ 3 ส.ค.60 ซึ่งเป็นระยะะเวลาหลังรัฐธรรมนูญ 60 ประกาศใช้ไปแล้ว 4 เดือน ว่าการถือหุ้นของนางนรีรัตน์ ในบริษัททั้งสองยังคงเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้น ประกอบกับทั้งสองบริษัทเป็นบริษัทภายในครอบครัว จึงทำให้คณะกรรมการไต่สวนเห็นว่าการชี้แจงของนายดอนที่ว่า ภรรรยามีการโอนหุ้นให้นายเพื่อน ใน 30 วันหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ จึงไม่น่าเชื่อถือ
"ผมในฐานะประธานคณะกรรมการไต่สวนมีหนังสือไปยังประธานบริษัททั้งสอง เมื่อวันที่ 1 ส.ค.60 ขอให้ชี้แจงว่าระหว่างปี 58 - 60 นางนรีรัตน์ ได้ถือหุ้นในบริษัทเท่าไร คิดเป็นละร้อยละเท่าไรจนถึงปัจจุบันและได้หุ้นมาด้วยวิธีใด ซึ่งบริษัทก็ตอบมาเมื่อวันที่ 3 ส.ค.60 ว่า การถือหุ้นเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะบริษัท ปานะวงศ์ จำกัด ระบุว่า นางนรีรัตน์ ถือหุ้น 7,200 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 12 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ตรงกับข้อมูลที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และประธาน ป.ป.ช.ส่งมา เมื่อพยานหลักฐานเป็นเช่นนี้คณะกรรมการไต่สวนก็ไม่อาจฟังเป็นอย่างอื่นได้" นายมนัส กล่าว
ทั้งนี้ นายมนัส ยังได้ยอมรับกับคำถามที่นายเสรี ทนายความของนายดอน ซักค้านว่าที่นายมนัส เห็นว่าพยานหลักฐานที่นายดอน นำเสนอไม่น่าเชื่อถือ และเป็นการทำย้อนหลังเพื่อเอาไว้ชี้แจงต่อศาลเท่านั้นเป็นความเห็นส่วนตัว ไม่มีอยู่ในมติของคณะกรรมการไต่สวน หรือในการพิจารณาของ กกต.เป็นการตอบในประเด็นที่ศาลตั้งประเด็นขอความเห็นว่า มีความเห็นเพิ่มเติมต่อกรณีนี้อย่างไร
ด้าน นายภัฏฏการก์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปานะวงศ์ รีเอลที่ จำกัด ชี้แจงว่า หุ้นของบริษัทเป็นใบหุ้นระบุชื่อ โดยมีข้อบังคับบริษัทว่าถ้ามีการโอนหุ้นต้องแจ้งบริษัททราบเพื่อป้องกันคนนอกไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อโอนหุ้นแล้วต้องเข้าที่ประชุมเพื่อรับทราบทุกครั้งแล้ว จึงมอบสำนักบัญชีไปดำเนินการแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าฯ ส่วนการโอนหุ้นในอดีตเคยมีของนายตรีวัฒน์ โอนให้บุตรแต่จำไม่ได้ชัดว่าปีอะไร ยอมรับว่าในปี 57 - 59 ไม่มี เพิ่งจะปรากฎเป็นครั้งแรก คือ กรณีของนางนรีรัตน์ ซึ่งเห็นว่าเมื่อบริษัทรับทราบสัญญาการโอนหุ้น ในวันที่ 30 เม.ย.ก็น่าจะถือว่าการโอนหุ้นมีผลตามกฎหมายในวันดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายจรัญ ภักดีธนากุล ได้พยายามสอบถามถึงการแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นไปยังกรมธุรกิจการค้า ว่าต้องมีหนังสือนำส่ง นายภัฏฏการก์ได้เคยเซ็น หรือเห็นหนังสือฉบับนี้หรือไม่ เพราะตามแบบพิมพ์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าผู้เป็นกรรมการบริษัทต้องลงนามและประทับตราบริษัท รวมทั้งจากเอกสารกาประชุมสามัญปี 57 - 59 ที่บริษัทนำส่งทุกครั้งจะมี 4 - 5 วาระ เช่น การรับรองผลการดำเนินการประจำปีที่ผ่านมา การตั้งผู้ตรวจสอบบัญชีและการกำหนดค่าตอบแทน การรับรองงบดุล แต่ทำไมในการประชุมสามัญปี 60 กลับไม่มีวาระเหล่านี้ และมามีในการประชุมวิสามัญครั้งที่ 2 ซึ่งก็ไม่มีวาระในเรื่องแต่งตั้งผู้ตรวจสอบบัญชีและค่าตอบแทน หลังจากครั้งแรกที่กำหนดวาระเป็นการรับรองการโอนหุ้นแล้ว
โดย นายภัฏฏการก์ ชี้แจงว่า หนังสือนำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจำไม่ได้ว่ามีหรือไม่ เพราะมอบให้สำนักบัญชีไปดำเนินการ โดยสำนักบัญชีขอไว้ 6 เดือน หลังที่ประชุมรับรองการโอนหุ้น เนื่องจากเขาต้องปิดงบดุลของหลายบริษัท ส่วนเรื่องวาระการประชุมปี 60 ไม่เรื่องผู้ตรวจสอบบัญชีเพราะยังไม่มีการแต่งตั้งและใช้บริษัทเก่าเป็นผู้ดำเนินการเนื่องจากไม่ได้ปัญหาอะไร
ขณะที่ นายตรีวัฒน์ ทังสุบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปานะวงศ์ จำกัด ชี้แจงว่า หุ้นของบริษัทเป็นประเภทระบุชื่อ บริษัทไม่มีข้อบังคับ แต่เมื่อมีการโอนหุ้นต้องเข้าที่ประชุมเพื่อแจ้งผู้ถือหุ้นทราบ โดยจะนำเข้าที่ประชุมหลังเปลี่ยนแปลงกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว โดยการเปลี่ยนแปลงจะมีอยู่ในสมุดบัญชีผู้ถือหุ้น ยืนยันการเปลี่ยนแปลงหุ้นในกรณีนี้มีบันทึกอยู่ในสมุดทะเบียนและนำส่งภายหลัง
ทั้งนี้ นายตรีวัฒน์ ยังระบุว่า การประชุมสามัญประจำปี 60 มีวาระ 2 เรื่อง คือ รับรองงบการเงิน กับเรื่องอื่น ไม่มี 5 วาระเหมือนปี 2557 - 2559 รวมทั้งไม่มีวาระการแต่งตั้งผู้ตรวจสอบบัญชี เพราะเจ้าหน้าที่ที่รับดำเนินการทำไม่ทัน และในเมื่อการประชุมสามัญไม่ได้อนุมัติแต่งตั้งผู้ตรวจสอบบัญชี และกำหนดค่าตอบแทน จึงต้องมีการประชุมวิสามัญเพื่อพิจารณาเรื่องที่ขาด แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว
ส่วนการแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ดำเนินการจึงไม่ทราบเรื่องหนังสือนำส่งและกระบวนการ เพราะเป็นการแจ้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ที่คณะกรรมการไต่สวนของกกต.ส่งหนังสือไปสอบถามเรื่องการถือหุ้นของนางนรีรัตน์นั้น เจ้าหน้าที่บริษัทได้ตอบตามเอกสารที่ปรากฎกับกระทรวงพาณิชย์ แต่ไม่ได้ตอบตามที่มีการโอนหุ้นจริง เพราะยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการอยู่ ประกอบกับเจ้าหน้าที่เร่งรัดในเรื่องการตอบโดยให้เวลาเพียง 10 วัน นับแต่วันที่ 1 ส.ค.60 แต่บริษัทก็ตอบภายใน 3 วัน
ทั้งนี้ หลังการไต่สวนเสร็จสิ้น นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แจ้งต่อคู่กรณีว่า ศาลนัดพิจารณาคดีนี้ในครั้งต่อไป วันที่ 17 ต.ค.เวลา 13.30 น.ขณะที่นายดอน ได้เดินทางกลับโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ต่อสื่อมวลชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี