1 ต.ค. 2561 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขียนบทความ “เสียงเรียกร้องต่อคนที่หูทวนลม” เผยแพร่บนเฟซบุ๊คส่วนตัว “Thirachai Phuvanatnaranubala” แสดงความเป็นห่วงการพยายามสืบทอดอำนาจของกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปัจจุบัน ผ่านการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ด้วยเห็นว่าผู้นำฝ่ายทหารคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เชื่อว่าตนเองสามารถจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกยกย่องในประวัติศาสตร์ ขณะที่กองหนุนคือกลุ่มทุนใหญ่ก็ต้องการสนับสนุนผู้มาจาก คสช. เพื่อผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจต่อไป อันจะเป็นภาวะสุ่มเสี่ยงของสังคมไทยในอนาคต ดังนี้..
“ภายหลังการปฏิวัติ กลุ่มทหารที่ไม่ยอมเลิกราจะพยายามสืบทอดอำนาจอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งอาจติดใจอำนาจรัฐและผลประโยชน์ อีกส่วนหนึ่งน่าสงสัยว่าอาจจะต้องการนั่งทับของสกปรกเอาไว้ อย่าให้ใครเข้ามารื้อ หรือไม่? แต่สำหรับรัฐบาล คสช. นั้น ผมเห็นว่ามีปัจจัยพิเศษ เพราะในช่วงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งกว่า 4 ปีนั้น นายทุนระดับชาติพบว่าสามารถเข้าไปยุ่มย่ามได้มากกว่ารัฐบาลปฏิวัติในอดีต”
“รัฐบาลปฏิวัติในอดีตส่วนใหญ่จะแยกบทบาทระหว่างผู้ที่ทำปฏิวัติกับผู้ที่บริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีจึงมีสัดส่วนนักวิชาการและมืออาชีพมากกว่า แต่ในยุค คสช. เน้นพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ไว้ใจได้ ส่วนคนนอกก็มาด้วยการสนับสนุนจากนายทุนระดับชาติ ดังนั้นนอกจากจะขาดการถ่วงดุลแล้ว ผลงานทางเศรษฐกิจจึงรวยกระจุกจนกระจาย' เพราะมีหลายโครงการที่ประเคนสิทธิหรือทรัพย์สินของรัฐให้แก่นายทุนระดับชาติ และยิ่งอยู่นานกว่ารัฐบาลปฏิวัติในอดีตหลายเท่า โครงการทำนองนี้ก็ผุดขึ้นเป็นวงเงินลงทุนมหาศาลอย่างไม่เคยมีมาก่อน”
“พลเอกประยุทธ์ เป็นผู้ปฏิวัติและดำรง 2 ตำแหน่งพร้อมกัน ที่เรียกว่าชงเองชิมเองนั้น ปกติก็จะไม่เป็นที่ยอมรับของสากลอยู่แล้ว แต่บัดนี้มีการขับเคลื่อนด้านการเมืองเต็มรูปแบบ มีการจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างขัดเจน คำวิจารณ์มีแต่จะรุนแรงมากขึ้น ถึงแม้นักกฎหมายจะบอกว่า ไม่มีข้อห้ามรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง แต่ข้ออนุญาตดังกล่าว เป็นกรณีที่รัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งปกติ รัฐมนตรีจึงสังกัดพรรคการเมืองอัตโนมัติ และพรรครัฐบาลที่ยุบสภาและเดินหน้าเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ก็ย่อมจะได้เปรียบระดับหนึ่งจากตำแหน่งการบริหารบ้านเมืองในช่วงหาเสียงไม่มากก็น้อย แต่กรณีนี้ สังคมไทยรับได้ เพราะในระบบปัจจุบันไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า”
“แต่รัฐบาลนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และประชาชนไม่ได้เลือกพวกเขาเข้ามา แต่อาศัยความขัดแย้งทางการเมืองฉวยยึดอำนาจ จึงมีลักษณะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ และมีความจำเป็นต้องรักษาความเป็นกลาง และการสืบทอดอำนาจ ด้วยการออกกติกาที่เอียงให้ประโยชน์แก่พวกของตน และการสวมหมวก 2 ใบ จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง รัฐบาลที่มาในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างนี้ การจะอ้างว่าปฏิบัติตัวเป็นธรรมเท่าเทียมกันทุกฝ่าย การอ้างอย่างเดียวยังไม่พอ แต่จำเป็นต้องนำเสนอภาพที่ย้ำประเด็นนี้อย่างชัดเจนด้วย ภาษาอังกฤษเรียกว่า not only to be fair, but also to be seen to be fair”
“และคำวิจารณ์นี้ จะต้องครอบคลุมถึงตัวพลเอกประยุทธ์เองด้วย เพราะท่านประกาศจุดมุ่งหมายทางการเมืองชัดแจ้งแล้ว และใครก็มองออกว่า บุคคลที่นั่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐขณะนี้นั้น ไม่มีฐานะที่จะเป็นผู้นำรัฐบาลได้เลย และการตั้งบุคคลนี้ให้เป็นหัวหน้าพรรคที่จะเป็นแคนดิเดทสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เป็นเพียงฉากกำบังพลเอกประยุทธ์เท่านั้น และการที่พลเอกประยุทธ์ยังเลือกที่จะใช้ฉากกำบัง ย่อมแสดงจุดประสงค์เป้าหมายที่จะอาศัยอำนาจรัฐเพื่อเอาเปรียบคู่ต่อสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย!”
“ส่วนบรรดานายทุนระดับชาติที่พบว่ารัฐบาลนี้นักธุรกิจสามารถเข้าไปกุมบังเหียนทางเศรษฐกิจได้ง่ายดายที่สุด จึงให้ความหวัง ให้การสนับสนุน เพื่อจรรโลงทีมงานตุ๊กตามือให้อยู่ต่อไปนานที่สุดนั้น ถึงเวลาที่ควรต้องตระหนักว่า คุณกำลังสร้างความตึงเครียดทางการเมืองโดยตรง เพราะวันหนึ่งนักธุรกิจขนาดเล็กกว่าก็จะไม่เอาระบบที่พวกคุณอาศัยอำนาจรัฐและข้าราชการเลวสรรสร้างความได้เปรียบหยิบชิ้นปลามัน โดยไม่มีการแข่งขันที่เป็นธรรม ส่วนพลเอกประยุทธ์ที่วันนี้อาจจะลืมตัว ตีนลอย หัวใจโป่งพอง มองเห็นความฝันที่ตัวเองจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประวัติศาสตร์จะต้องยกย่องชมเชย นั้น ก็ควรจะให้ทีมงานวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบเสียก่อน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี