นักวิชาการชี้‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ไม่ตรงปกตามที่หาเสียง ห่วงเรื่องขึ้นเงินสุดท้ายไหลเข้ากระเป๋าแค่บางกลุ่ม
10 พ.ย. 2566 รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี นายบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นพิธีกร ในประเด็นการแจกเงินดิจิทัล หรือดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ที่ล่าสุด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศแล้วว่าจะให้คนที่รายได้ต่อเดือนไม่เกิน 7 หมื่นบาท เงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท ซึ่งจะมีคนได้รับเงินประมาณ 50 ล้านคน ว่า จำนวนเงินลดลงมาเพียงเล็กน้อย จากที่ใช้ 5.6 แสนล้านบาท พอตัดออกก็เหลือราว 5 แสนล้านบาท ตามที่นายกฯ บอก
ซึ่งในฐานะนักรัฐศาสตร์ ตนมองนโยบายที่ออกมาไม่ตรงปก เพราะตอนหาเสียงบอกจะแจกอย่างกระหน่ำ ทุกคนที่อายุ 16 ปีขึ้นไปจะได้เงินโดยไม่มีเงื่อนไข แต่มาปัจจุบันดูเหมือนเงื่อนไขจะยาวขึ้น แน่นอนในทางการเมืองคือเสียหน้าไปแล้ว แต่ทำอย่างไรจะเสียหน้าน้ยอ รวมถึงอาจไม่อยากซ้ำรอยอดีตนายกฯ บางท่านในประเด็นข้อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในหลักการแล้วด้วยความที่พรรคการเมืองมีหน้าที่อาสามาทำงาน ดังนั้นนโยบายที่ประกาศออกมาต้องผ่านการไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี ด้วยความเชื่อว่าพรรคการเมืองมีทีมงาน จึงต้องสัญญาในสิ่งที่ทำได้
“คุณเศรษฐาเป็นคนเดียวกับคนที่ประกาศที่อิมแพ็ค (ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี) 1 หมื่นบาท 16 ปี 1หมื่นบาททุกคน แต่วันนี้ก็คุณเศรษฐาคนเดียวกัน ทีนี้อยู่ที่ตึกสันติไมตรี ผมก็บอกว่าเรื่องนี้สำหรับผมแล้วมันไม่ตรงปกกับสิ่งที่ประกาศ ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าคุณเศรษฐาและทีมงาน ต้องบอกว่าทำการบ้านมาไม่พอ คือตอนหาเสียงเข้าใจว่าทำการบ้าน ผมใช้ศัพท์ว่าฉาบฉวย เพราะตัวเลข ผมพูดตรงๆ นะว่าอัตราการคำนวณ เอา 7 หมื่นเป็นตัวตั้ง เอา 5 หมื่นเป็นตัวตั้ง ข้อมูลมันไม่ได้หายาก ข้อมูลเปิดเผยในสำนักงานสถิติแห่งชาติ” รศ.ดร.ธนพร กล่าว
รศ.ดร.ธนพร กล่าวต่อไปว่า ตัวเลขอาจจะไม่เป๊ะ แต่การไม่นำตัวแปรเหล่านี้มาคิดเลยมันดูประหลาด นอกจากนั้นที่ดูแย่ คือก่อนหน้านี้ นายเศรษฐาประกาศว่าพรรคจะรักษาวินัยการเงินการคลัง แต่ตอนนี้เท่าที่ฟังคือต้องไปออก พ.ร.บ.เงินกู้อีก 5 แสนล้านบาท คำถามคือแบบนี้ตรงกับที่ประกาศไว้หรือเปล่า แต่ตนคิดว่าไม่ตรง ซึ่งตนอยากให้แจกเพราะสัญญาไว้ แต่ตอนที่สัญญา 1.แจกทั่วฟ้า 2.ต้องรักษาวินัยการเงินการคลังด้วย แต่ตอนนี้แจกไม่ทั่วฟ้าแถมไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง เพราะท่านพูดตรงๆ ว่าต้องกู้เงิน
ส่วนเรื่องที่บอกว่าเงินดิจิทัลคือเงินบาทต่อบาท ขณะนี้ก็ยังตรงกับสิ่งที่เคยพูดอยู่ เพียงแต่ยังไม่ได้พูดถึงกระบวนการใช้ เช่น จะต้องมีซูเปอร์แอปพลิเคชั่นหรือไม่ แต่จะต้องมีกระบวนการแบบนี้อย่างแน่นอน ยังไม่รวมถึงการลงทะเบียนของร้านที่เข้าร่วมโครงการ ที่เบื้องต้นมีบอกว่าไม่ต้องมีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แต่ต้องอยู่ในระบบภาษี แต่เชื่อว่าสุดท้ายร้านที่จะขึ้นทะเบียนต้องอยู่ในภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึงตอนที่การใช้จ่ายหมุนเวียนไม่ต้องอยู่ในภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้ แต่คนสุดท้ายที่จะนำเงินดิจิทัลไปแลกเป็นเงินสดต้องอยู่ในภาษีมูลค่าเพิ่ม
“บริษัทหรือภาคประกอบการแบบไหนที่เขาออกแบบกันไว้แบบนี้ คุณจะไปซื้อหมูมาทำก๋วยเตี๋ยว คุณไปซื้อที่เขียงผมไม่มั่นใจนะว่ามี VAT ก็ซื้อได้ แต่ถ้าเกิดจะเอาไปขึ้นเงิน เจ้าของเขียงหมูก็ต้องไปซื้อมาจากใครก็ไม่รู้ล่ะที่อยู่ในระบบ VAT แล้วที่ใหญ่กว่าคือเราไม่ต้องเอ่ยนาม คือผมกำลังพูดถึงเลาๆ แล้วเรายังไม่รวมอะไรรู้ไหม? ผมเป็นคนใช้เงิน ขี้เกียจยุ่งยาก ผมไปซื้อที่มี VAT เลยดีกว่า เช่น ห้างๆ ทั้งหลาย” รศ.ดร.ธนพร ระบุ
รศ.ดร.ธนพร ยังกล่าวอีกว่า ส่วนคำถามที่ว่าจะมีการตั้งโต๊ะแลกเงินดิจิทัลเป็นเงินสดแบบหักส่วนต่าง เช่น จากเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท แลกเงินสดได้ 7,000 บาทหรือไม่ ตนเชื่อว่ามี ให้นึกถึงโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งรัฐบาลเติมเงินโดยหวังให้ประชาชนไปเที่ยว ก็เห็นมีคดีความเรื่องรีสอร์ทไปขายกันล่วงหน้าแล้วแลกเป็นเงินสด ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเพราะคนไทยมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องของการขึ้นเงินที่สุดท้ายต้องเป็นร้านค้าที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งก็มีคนเตือนว่าแทนที่จะกระจายรายได้ แทนที่เงินจะหมุน แต่สุดท้ายกลับไปเข้ากระเป๋าคนเพียงบางกลุ่ม
ชมคลิปเต็มที่ https://www.youtube.com/watch?v=j87DxM6PSsk
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี