‘ธิดา’โชว์ภูมิถล่ม คสช.ถลุงเงินแจกคนจน มุ่งสืบทอดอำนาจ  

22 พ.ย.61 นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในการทำ Facebook Live กรณีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยมีเป้าหมายทางการเมืองว่าแพ้ไม่ได้ ว่า มาตรการการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวมและเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล มีรายงานข่าวจากสื่อว่า “โหมเมกะโปรเจ็กต์ 2.4 ล้านล้าน เร่งปิดดีล EED 5 โครงการ 6.5 แสนล้าน ขายทีโออาร์เมืองการบินขีดเส้นได้ผู้ชนะ ก.พ. ปีหน้า สั่งบีโอไอจัดแพ็กเกจออนท็อบดึงต่าชาติลงทุน คลังจัดสารพัดมาตรการกระตุ้น “เติมเงินบัตรคนจน-เพิ่มเบี้ยคนชรา-ช็อปช่วยชาติเวอร์ชั่น 2” แล้วยังไม่พอ ผุดโครงการบ้านล้านหลังอีกด้วย และวันนี้ที่พาดหัวข่าวหลายสำนักว่า ช่วยคนจน 3 หมื่นกว่าล้าน จริง ๆ แล้วเมกะโปรเจ็กต์ 2.4 ล้านล้าน EEC อีก 6.5 แสนล้าน ถ้าเรามาเทียบกับจัดหนัก ทุ่มหนักทิ้งทวน จะเห็นได้เลยว่าตัวเลขต่างกันเยอะ

นางธิดา กล่าวอีกว่า ถ้าดูในแผนภูมิจากสื่องบรวมที่จ่ายให้คนจน 38,730 ล้านบาท กับ 4 มาตรการใหม่ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ”

1) ช่วยจ่ายค่าไฟ 230 บาท/ครัวเรือน/เดือน, ค่าน้ำ 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน ระยะเวลา ธ.ค. 61 – ก.ย. 62 อ.ธิดากล่าวว่าเท่ากับเป็นงบอุดหนุนค่าไฟ ค่าน้ำ ซึ่งเป็นวิสาหกิจของรัฐทั้งนั้นเลย แต่เป็นวิธีการอุดหนุนโดยแยบยลคือผ่านบัตรคนจน แทนที่จะเอาเงินไปช่วยรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ โดยตรง

2) สนับสนุนค่าใช้จ่ายช่วงปลายปีเดือนธันวาคมคนละ 500 บาท เฉพาะเดือนธันวาคมเป็นของขวัญปีใหม่

3) ค่าเดินทางรักษาพยาบาลผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) คนละ 1,000 บาท เฉพาะเดือนธันวาคม

4) ค่าเช่าบ้าน 400 บาท/คน/เดือน ระยะเวลา ธ.ค. 61 – ก.ย. 62

นอกจากนี้มีโครงการบ้านล้านหลังวงเงิน 6 หมื่นล้านบ้านสำหรับกู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ผ่อน 40 ปี นอกจากนี้มีการช่วยเหลือข้าราชการเกษียณที่รับบำนาญ

นางธิดา กล่าวอีกว่า ฟังดูแล้วเหมือนกับแจกคนจนเยอะ 3.8 หมื่นล้าน แต่เมื่อเทียบแล้วปรากฎว่าคนชั้นกลางและข้าราชการบำนาญได้ไปเกือบแสนล้าน ส่วนนักลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ 2.4 ล้านล้าน และ 5 โครงการ EEC อีก 6.5 แสนล้าน กรณีเพิ่มบัตรคนจน 3.5 ล้านใบ ซึ่งตนเคยบอกแล้วว่า จริง ๆ แล้วเพดานเงินที่บอกว่ารายได้ 3 หมื่นกว่าไปจนถึงแสนบาทต่อคนต่อปี มันอยู่ในวงของ 300 บาทต่อคนต่อวันที่เป็นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งมีประมาณ 70% ของคน เพราะดังที่บอกว่า 40% มันมีรายได้ประมาณ 4-5 พันบาทต่อคนต่อเดือน ฉะนั้น 1 ปีก็ประมาณ 6 หมื่น

“ดังนั้นตนสามารถบอกได้เลยว่าเดี๋ยวคนก็จะมาขึ้นทะเบียนคนจนต่อ จะไม่ใช่ 14 ล้านกว่าคนแล้ว จะกลายเป็น 20 กว่าล้านคน ที่ท่านบอกว่าคนจนจะลดลงนั้น มันไม่ใช่ ตัวเลขคนจนจะเพิ่มขึ้น ลองดูซิ จากทีแรก 11 ล้าน ปีนี้เพิ่ม 3.5 ล้านเป็น 14 ล้านกว่า ปีหน้าบอกได้เลยจะเพิ่มอีก 5-6 ล้าน ยิ่งอยู่คนจนยิ่งมากขึ้น ไม่รู้ว่าท่านเข้าใจคนจนหรือเปล่าว่าคนจนประเทศไทยนั้นมีรายได้เท่าไหร่? ดังนั้น นิยาม “คนจน” ของท่านจึงไม่จริง และต่อไปนี้คนจนประเทศไทยจะมากขึ้น นี่จึงเป็นรัฐบาลที่มองเหมือนว่าเป็นซานต้าใจดี แจกถุงของขวัญปลายปี” นางธิดา กล่าว

นางธิดา กล่าวต่ออีกว่า ในทัศนะของตน คือ มันเป็นโค้งสุดท้ายใกล้เลือกตั้ง มันชี้ให้เห็นว่าคสช. ไม่ได้ต้องการมาทำเพียงรัฐประหาร ไม่ต้องการทำเพียงให้บ้านเมืองสงบ ไม่ได้ต้องการเพียงปูพื้นฐานเพื่อให้มีรัฐบาลพลเรือนมาสานต่อ แต่คสช.จะเป็นรัฐบาลเอง และแพ้เลือกตั้งไม่ได้ด้วย ดังนั้นทำแบบไหนได้ ทำหมด

นางธิดา กล่าวอีกว่า ตนอยากถามว่าบรรดาผู้ที่สนับสนุนรัฐประหารทั้งหลาย พรรคการเมืองที่ออกมามีส่วนช่วยในการทำรัฐประหารนั้นสะอึกหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมที่ฝันหวานว่าเขาทำรัฐประหารแล้วตัวเองจะได้เป็นรัฐบาลแบบเมื่อก่อน ไม่ใช่แล้ว เพราะคุณอุตตม, คุณสนธิรัตน์ เขาพูดออกมาแล้วว่านี่คือทางเลือกทางออก ดังนั้นเมื่อคสช.ต้องการเป็นทางออกทางเลือกใหม่ของประเทศของประชาชน เพราะฉะนั้นก็จะทุ่มทุกอย่างสุดตัว ทุ่มตั้งแต่รากหญ้าไปจนกระทั่งถึงยอดไม้และหว่านไปทั่วเลย ทั้งหมดนี้คือหวังผลว่าเขาจะต้องเป็นไม้ใหญ่ เป็นทางออกของประเทศไทยต่อไป

“สุดท้ายตนอยากให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและพรรคการเมือง แม้กระทั่งที่เคยไปสนับสนุนรัฐประหารได้ชัดเจนนะว่า แล้วคุณจะอยู่แบบนี้ไปอีกนานหรือ เขาทำในสิ่งที่คุณบอกรัฐบาลทุนสามานย์ทำ แต่เขาทำเกินกว่ามาก ให้ฐานรากก็ให้ ให้นายทุนก็ให้ แต่ว่าประชาชนยังทุกข์ยากเหมือนเดิม อันนี้เป็นการแจก เป็นวิธีการแบบที่เรียกว่าเสรีนิยมใหม่ มันไม่ได้ช่วยให้ประชาชนนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาด้วยตัวเอง แจกลูกเดียว แจกแล้วก็หวังพึ่ง เป็นเหมือนลูกแหง่ เป็นหนี้บุญคุณ ซึ่งอันนี้เขาไม่ได้เรียกสวัสดิการหรือรัฐสวัสดิการ แต่เขาเรียกว่ารัฐสงเคราะห์ ดังนั้นอย่าพูดเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ต้องพูดว่าเป็นบัตรสงเคราะห์คนจน แต่เผอิญนิยามคนจนสูงไปหน่อย รายได้แสนบาทต่อปี ปีหน้าจะมาอีก 6 ล้านค่ะ” นางธิดา กล่าว