7 ม.ค.62 นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย เขียนบทความ “นโยบายพรรคการเมืองต่อบทบาทในการฟื้นฟูทะเลไทย” โดยระบุว่าพรรคการเมืองทุกพรรคที่ผ่านมาสอบตกในประเด็นการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ทั้งด้วยที่ตัวพรรคมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนประมงพาณิชย์ รวมถึงการเสนอนโยบายที่ขาดการใช้ข้อมูลทางวิชาการอย่างเพียงพอ ดังนี้
วันนี้มีทีมปชส.ของพรรคประชาธิปัตย์ให้เกียรติบุกมาถึง สนง. มีหลายคำถามที่น่าสนใจ ผมขอประมวลสรุปไว้เผื่อที่พรรคการเมืองอื่นๆ สนใจจะนำไปไตร่ตรองดู ว่าท่านควรจะมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับปัญหา/และทางออกของทรัพยากรทะเล
1.ผมบอกไปว่าพรรคการเมืองไทยทุกพรรคตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน “สอบตก” ในเรื่องของนโยบายในบริหารจัดการทรัพยากรทะเล ผมวิเคราะห์แบบไวๆให้เขาฟังว่า เพราะทุกพรรคการเมืองไม่ได้เป็นพรรคมวลชนที่แท้จริงแม้แต่พรรคเดียว แต่ส่วนมากเป็นพรรคของกลุ่มทุนทั้งในระดับชาติและทุนท้องถิ่น ในเรื่องทะเลตัวแทนพรรคการเมืองคือเจ้าของธุรกิจทางการประมงตั้งแต่เจ้าของเรือใหญ่/แพปลา/โรงงานน้ำแข็ง/โรงงานปลาป่นฯลฯ ถ้ามาดูกันในแง่ของฐานมวลชนที่แท้จริงชาวประมงพื้นบ้านทั่วประเทศใน 22 จังหวัด มีจำนวนถึง 85% ของประชากรที่ทำอาชีพประมง แต่ประมงพาณิชย์มีเพียง 15% แต่พรรคการเมืองทุกพรรคล้วนผูกอยู่กับกลุ่มประมงพาณิชย์ที่มีจำนวนเพียง 15% อะไรที่เป็นเช่นนั้นสังคมไทยรู้ดี
2.พรรคการเมืองทุกพรรคไม่ทำการบ้านในเรื่องทรัพยากรในทะเลอย่างจริงจัง มองแต่ภาพเฉพาะหน้า ขาดวิสัยทัศน์ในการจัดการทรัพยากรทะเลที่ยั่งยืน และปล่อยให้อำนาจในการต่อรองทั้งในระดับนโยบายและการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินตกอยู่ภายใต้อำนาจของระบบทุนทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ในเรื่องปัญหาทรัพยากรทางทะเลผมยังไม่ได้ยินพรรคไหนพูดถึงการพัฒนาทรัพยากรในทะเลอย่างยั่งยืนแม้พรรคเดียว แต่มักพูดถึงจะทำอย่างไรให้พี่น้องทั้งประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านอยู่ร่วมกันให้ได้ เสมือนพยายามคิดค้นนโยบายที่จะเอา “ฝูงลูกเขียดกับงูจงอางมาขังไว้ร่วมกันในโอ่งเดียวกัน”ให้ได้ ซึ่งสะท้อนถึงการไม่ทำการบ้านทั้งในเรื่องต้นทุนทางทรัพยากร การประกอบอาชีพที่หลากหลายและแตกต่างของอาชีพประมงหรือวิทยาศาสตร์ทางทะเลแม้แต่นิดเดียว”
3.พรรคการเมืองพยายามคิดรูปแบบที่ทำให้ดูเสมือนการสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เช่นเสนอ “สภาชาวประมงแห่งชาติ” ซึ่งก็ดูดีทีเดียว แต่ในทางปฏิบัติอยากให้แต่ละพรรคลองไปศึกษา สภาเกษตรกรแห่งชาติ กองทุนฟื้นฟูเกษตรกร คณะกรรมการชุดต่างๆที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา(เวลาถูกเกษตรกรสาขาอาชีพต่างๆเดือดร้อนแล้วทนไม่ไหวลุกกันขึ้นมาเดินขบวน)ฯลฯ ว่ากลไกเหล่านั้นสามารถตอบสนองการแก้ไขปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน???และติดขัดตรงไหน??? การเสนออะไรใหม่ๆให้ดูดีๆมันไม่พอ เพราะประชาชนเองก็มีประสบการณ์มาแล้วมากมาย
รูปธรรมของความล้มเหลวในอดีตในการจัดการทรัพยากรทางทะเลที่พรรคการเมืองจะต้องทบทวนเช่น 3.1 กรณีเครื่องมือทำการประมงแบบทำลายล้างที่เรียกว่า “เรือปั่นไฟจับปลากะตัก” ในปี 2526 ประมงพื้นบ้านทั่วประเทศเดือดร้อนกันมาก มีการออกประกาศกระทรวงเกษตรฯโดยนายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ รมช.เกษตรในสมัยนั้น ปัญหาก็ทุเลาเบาบางลง แต่พอถึงปี 2539 มีรัฐมนตรีท่านหนึ่ง (นายมณฑล ไกรวัศนุสรณ์) ซึ่งก็มาจากธุรกิจประมงพาณิชย์) ออกประกาศยกเลิกให้กลับไปทำการประมงด้วยวิธีปั่นไฟได้อีก ไม่มีพรรคการเมืองไหนแม้แต่พรรคเดียวที่ลุกขึ้นมาทัดทาน เป็นที่มาของลูกปลาทูตัวเล็กยังถูกทำลายอย่างมหาศาลและต้มตากขายกันเกลื่อนตลาดในปัจจุบัน
3.2 กรณีเรืออวนลาก นักวิชาการกรมประมงได้พยายามทำหน้าที่บอกว่าภาวะทรัพยากรทางทะเลไทยกำลังวิกฤติ อยู่ในภาวการณ์ทำการประมงที่เกินศักยของทะเล(Over Fishing) จากงานวิจัยทุกสำนักสรุปว่า “อวนลาก” คือเครื่องมือทำการประมงที่ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำวัยอ่อนหลากหลายชนิดที่รุนแรงที่สุด จะต้องหาทางยุติ วิธีการในยุคนั้นคือการหาทางยุติโดยวิธีการนิ่มนวลค่อยเป็นค่อยไปโดยออกมาตรการไม่ให้มีการต่ออาญาบัตรและไม่ออกทะเบียนเรือเพิ่ม มีจำนวนเท่าไหร่ก็หยุดแค่นั้น เมื่อเรือเก่าหมดอายุใช้งาน อวนลากก็จะหมดไปจากท้องทะเลไทย แต่มาตรการดังกล่าวไม่ได้ผลเพราะทุกพรรคการเมือง ปล่อยให้มีการ “นิรโทษกรรมเรืออวนลาก”หนแล้วหนเล่า ประเทศนี้มีการนิรโทษเรืออวนลากมาแล้ว4ครั้ง ปัญหาทรัพยากรในทะเลไทยจึงวิกฤติสุดๆ เมื่อโดนมาตรการสากลอย่างกรณี IUU FISHING /C.188 ทั้งประมงพาณิชย์ขาใหญ่และกรมประมงตลอดจนกลไกลวกๆที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า จึงดิ้นกันเป็นไส้เดือนโดนขี้เถ้าอยู่ในปัจจุบัน
4.ประเทศเราหลีกมาตรการทางสากลต่างๆไม่ได้หรอก ไม่ว่าข้อตกลงเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนเช่นเรื่องSDG( Sustainable Development Goal)เรื่องทะเลอยู่ในข้อที่14/IUU FISHING/มาตรการคุ้มครองแรงงานประมงC.188ฯลฯ เพราะหากเราไม่รับ/ไม่ปฏิบัติก็จะส่งผลกระทบต่อภาคส่วนอื่นๆอีกมากมาย พรรคการเมืองไม่ควรหาเสียงเพียงเพื่อเอาชัยชนะการเลือกตั้งเฉพาะหน้า ไม่บอกความจริงกับประชาน แต่เลือกพูด/บอกเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ลงไปหาเสียง
5.พรรคการเมืองทุกพรรคจะมีคณะกรรมการนโยบายพรรค ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการกำหนดยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ ไม่ค่อยสนใจข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งในเรื่องของการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเป็นข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ หลายๆกรณีไม่สามารถเอาผลประโยชน์ของกลุ่มทุน/สมาชิกมาเป็นที่ตั้งได้ ต้องมีข้อมูลที่เป็นวิชาการ/เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งเรื่องบริหารจัดการทรัพยากรเป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น......
เรียนมาด้วยความรักในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องมีพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทน/และเอาผลประโยชน์ของสังคมโดยรวมเป็นที่ตั้งครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี