สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 29 มกราคม 2562

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 29 มกราคม 2562

วันอังคาร ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562, 18.49 น.

 29 ม.ค.62 เมื่อเวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้

กฎหมาย


1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เกี่ยวกับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

                   สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

                   1. กำหนดให้มีคณะกรรมการ กสทช. จำนวน 7 คน ซึ่งแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกิจการกระจายเสียง ด้านกิจการโทรทัศน์ ด้านกิจการโทรคมนาคม ด้านวิศวกรรม ด้านกฎหมาย ด้านเศรษฐศาสตร์ และด้านการคุ้มครองผู้บริโภคหรือส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยให้การกำหนดจำนวนผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านใดให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการสรรหากำหนด (เดิมกำหนดให้มีจำนวนด้านละหนึ่งคน)

                   2. แก้ไขรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามของกรรมการ กสทช. เช่น เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ต้องไม่เป็นกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา พนักงาน ผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนหรือนิติบุคคล ที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม เป็นต้น

                   3. แก้ไขเพิ่มเติมผู้มีสิทธิเข้ารับการสรรหาเพื่อเป็นกรรมการ กสทช. เช่น รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอธิบดีผู้พิพากษา รองอธิบดีศาลปกครองชั้นต้น ตุลาการพระธรรมนูญ รองหัวหน้าศาลทหารกลาง หรือรองอธิบดีอัยการ เป็นหรือเคยเป็นทหาร หรือตำรวจที่มียศตั้งแต่พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี หรือพลตำรวจตรี เป็นต้น

                   4. แก้ไขรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสรรหา และการลงคะแนนเสียงเพื่อคัดเลือกกรรมการ กสทช. ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยแก้ไขในประเด็นต่าง ๆ เช่น วิธีการลงคะแนนของคณะกรรมการสรรหาและการบันทึกเหตุผลในการลงคะแนน คะแนนเสียงของคณะกรรมการสรรหาในการคัดเลือกผู้ได้รับการสรรหา การพิจารณาให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาของวุฒิสภา เป็นต้น

                   5. ให้คณะกรรมการสรรหามีหน้าที่และอำนาจวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติ หรือลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ผู้ได้รับคัดเลือกหรือผู้ได้รับการสรรหา

 

2.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติหอพัก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้

                   1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหอพัก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

                   2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ

                     สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

                   ร่างพระราชบัญญัติหอพัก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

ประเด็น

สาระสำคัญ

1. วันบังคับใช้

ให้พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับนับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

2. บทนิยาม ร่างมาตรา 3 จากเดิมมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 กำหนดนิยามคำว่า

 

- “ผู้พัก” หมายความว่า ผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาในสถานศึกษาในระดับไม่สูงกว่าปริญญาตรีและมีอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี

- “สถานศึกษา” หมายความว่า โรงเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลัยที่จัดการศึกษาในระบบตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ ทั้งนี้ ไม่หมายความรวมถึงสถาบันหรือมหาวิทยาลัยของรัฐที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา

ให้ยกเลิกบทนิยามของคำว่า “ผู้พัก” และ“สถานศึกษา” ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2558 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน                

- “ผู้พัก” หมายความว่า ผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาในสถานศึกษาและบุคคลอื่นที่ไม่อยู่ระหว่างการศึกษาตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด

- “สถานศึกษา” หมายความว่า โรงเรียน วิทยาลัย สถาบัน มหาวิทยาลัยที่จัดการศึกษาในระบบตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ              

3. เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการ

- กำหนดเพิ่มปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพัก

- กำหนดเพิ่มผู้แทนประกอบกิจการหอพักจำนวนหนึ่งคน เป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพักกรุงเทพมหานคร

- กำหนดเพิ่มผู้แทนผู้ประกอบกิจการหอพักจำนวนหนึ่งคน เป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพักจังหวัด

4. ปรับแก้ไขถ้อยคำร่างมาตรา 36 วรรคหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขคำนิยามคำว่า “ผู้พัก” กรณีที่หอพักเอกชนสามารถรับผู้พักที่อยู่ระหว่างการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ จากเดิมมาตรา 36 วรรคหนึ่ง กำหนดให้หอพักเอกชน ให้รับผู้พักได้เฉพาะผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ไม่สูงกว่าปริญญาตรี เว้นแต่หอพักเอกชนที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับสถานศึกษาให้รับผู้พักซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ด้วย

หอพักเอกชน ไม่สามารถรับผู้พักที่อยู่ในระหว่างการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ เว้นแต่หอพักเอกชนที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับสถานศึกษาให้รับผู้พักซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ด้วย

5. บทเฉพาะกาล

กำหนดให้สถานศึกษาที่มีหอพักอยู่ภายใต้การกำกับดูแล หรือมีหอพักโดยให้ผู้อื่นบริหารจัดการกิจการของหอพักภายในสถานศึกษาโดยไม่ได้รับใบอนุญาตอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ดำเนินการยื่นคำขอใบอนุญาตประกอบกิจการหอพักภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

                  

3.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้

                   1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

                   2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

                   สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

ประเด็น

รายละเอียด/เหตุผล

1. เพิ่มเติมบทนิยาม

“ทรัพยากรพันธุกรรม” “สารพันธุกรรม” “อนุพันธ์” “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” ระหว่างบทนิยามคำว่า “แบบผลิตภัณฑ์” และคำว่า “ผู้ทรงสิทธิบัตร” เพื่อรองรับหลักการเปิดเผยแหล่งที่มาของทรัพยากรพันธุกรรม (Genetic Resources: GRs) และภูมิปัญญาท้องถิ่น (Traditional Knowledge: TK) และการเป็นจุดตรวจสอบภายใต้พิธีสารนาโงยาฯ รวมทั้งอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) ซึ่งไทยเป็นสมาชิกแล้ว

2. ปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การพิจารณางานที่ปรากฏอยู่แล้ว

กำหนดเพิ่มเติมกรณีที่มีการยื่นคำขอรับสิทธิบัตรครั้งแรกไม่ว่าจะในหรือนอกราชอาณาจักร ให้ถือว่าวันยื่นคำขอครั้งแรกนั้นเป็นวันยื่นคำขอรับสิทธิบัตรซึ่งสอดคล้องกับหลักการ Claim Priority ซึ่งถือเป็นหลักการสากล

3. เพิ่มเติมสิ่งที่ขอรับสิทธิบัตรไม่ได้

กำหนดเพิ่มเติมให้ ศัลยกรรม และ วิธีการดำเนินธุรกิจ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถขอรับสิทธิบัตรได้ เพื่อให้ถ้อยคำครบถ้วนตาม TRIPS Art 27 ข้อ 3 (a) ซึ่งมีคำว่า “surgical methods” และกำหนดให้ชัดเจนว่าวิธีการดำเนินธุรกิจ (Business Method) เป็นสิ่งที่ไม่สามารถขอรับสิทธิบัตรได้ เพราะไม่ใช่การประดิษฐ์ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธี

4. เพิ่มเติมบทบัญญัติเพื่อรองรับการใช้ทรัพยากรพันธุกรรม หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น

กำหนดให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรระบุแหล่งที่มา และยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตก่อนการเข้าใช้ และข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์มาพร้อมคำขอด้วย เพื่อรองรับหลักการเปิดเผยแหล่งที่มาของทรัพยากรพันธุกรรม (Genetic Resources: GRs) และภูมิปัญญาท้องถิ่น (Traditional Knowledge: TK)

5. ปรับปรุงแก้ไขขั้นตอนการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ให้มีความชัดเจนและรวดเร็วขึ้น

- กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการขอรับการจดสิทธิบัตรใหม่ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับหลักสากล เช่น ลดระยะเวลาแยกคำขอรับสิทธิบัตร กรณีคำขอรับสิทธิบัตรมีการประดิษฐ์หลายอย่าง จากเดิม 120 วัน เป็น 90 วัน ลดระยะเวลาการขอให้ตรวจสอบสิ่งประดิษฐ์จาก 5 ปีเป็น 3 ปี เป็นต้น

- กำหนดองค์ประกอบรายงานการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรเบื้องต้นใหม่เพื่อให้ชัดเจน และเข้าใจง่าย

- ปรับปรุงกระบวนการคัดค้านการขอรับสิทธิบัตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยย้ายการคัดค้านก่อนการตรวจสอบการประดิษฐ์มาไว้ภายหลังจากตรวจสอบการประดิษฐ์ แต่ก่อนการรับจดทะเบียน

- กำหนดหลักเกณฑ์และผลของการถอนคำขอรับสิทธิบัตรให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ขอมีสิทธิเลือกที่จะไม่ขอรับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรต่อไป

6. ยกเลิกการให้ผู้ทรงสิทธิบัตรอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้สิทธิบัตรแทนตน และกำหนดวิธีการจดแจ้งการอนุญาตให้ใช้สิทธิตามสิทธิบัตร

- กำหนดให้ยกเลิกการจดทะเบียนอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้สิทธิบัตรแทนผู้ทรงสิทธิบัตร เพื่อรองรับระบบการแจ้งการอนุญาตให้ใช้สิทธิตามสิทธิบัตร

- กำหนดวิธีการจดแจ้งการอนุญาตให้ใช้สิทธิตามสิทธิบัตร โดยเปลี่ยนจากการจดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิเป็นการจดแจ้ง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดให้มีระบบอนุญาตเพียงเท่าที่จำเป็น

7. ปรับปรุงอำนาจหน้าที่อธิบดีกรณีผู้ทรงสิทธิบัตรไม่ชำระค่าธรรมเนียมรายปี

กำหนดให้อธิบดีสั่งเพิกถอนสิทธิบัตรที่ไม่ชำระค่าธรรมเนียมรายปีแทนคณะกรรมการสิทธิบัตร เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินงาน

8. เพิ่มเติมบทบัญญัติเรื่องการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรเพื่อส่งออกเภสัชภัณฑ์ตามมาตรา 31 bis ของ TRIPS Agreement

กำหนดว่ากรณีหากเกิดความขาดแคลนเภสัชภัณฑ์ในประเทศพัฒนาน้อยที่สุด หรือประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกมีศักยภาพในการผลิตเภสัชภัณฑ์ไม่เพียงพอ และประเทศนั้นได้แจ้งความต้องการที่จะนำเข้าเภสัชภัณฑ์ต่อองค์การการค้าโลกแล้ว กระทรวงอาจใช้สิทธิตามสิทธิบัตรอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีผู้ทรงสิทธิบัตรอยู่แล้ว เพื่อผลิตและส่งออกเภสัชภัณฑ์ไปยังประเทศดังกล่าวได้ โดยดำเนินการเองหรือให้บุคคลอื่นดำเนินการแทน รวมทั้งวางกรอบการกำหนดค่าตอบแทน เงื่อนไข และข้อจำกัด สิทธิของกระทรวง เพื่อให้สอดคล้องกับความตกลง TRIPS Art 31 bis

9. เพิ่มเติมหมวด 2/1 การยื่นคำขอระหว่างประเทศภายใต้สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร (Patent Cooperation Treaty : PCT)

เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิยื่นคำขอสิทธิบัตรสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาในไทย สามารถยื่นขอจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ ซึ่งเป็นหลักการตามสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร เดิมกำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับความคุ้มครองการประดิษฐ์ตามสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร พ.ศ. 2522

10.ปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบคำขอรับอนุสิทธิบัตร

แก้ไขกรอบเวลาการเปลี่ยนแปลงประเภทของสิทธิจากสิทธิบัตรเป็นอนุสิทธิบัตร หรือจากอนุสิทธิบัตรเป็นสิทธิบัตรจากเดิม 5 ปีเป็น 3 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์

11. เพิ่มเติมการดำเนินการทางอิเล็กทรอนิกส์

กำหนดให้การยื่นคำขอและการดำเนินการต่าง ๆ ให้ทำได้ทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีการอื่นที่อธิบดีกำหนดได้

12.ปรับปรุงบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

- ปรับปรุงค่าธรรมเนียมคำขอต่าง ๆ เช่น คำขอรับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตร เดิม ฉบับละ 1,000 บาท เป็น 2,500 บาท ใบแทนสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตร เดิม ฉบับละ 100 บาท เป็น 1,000 บาท เป็นต้น

- เพิ่มเติมค่าธรรมเนียมคำขอต่าง ๆ ซึ่งเดิมไม่มี เช่น คำขอแยกการประดิษฐ์ ฉบับละ 2,500 บาท คำขอถอนคำขอรับสิทธิบัตรหรือนุสิทธิบัตร ฉบับละ 500 บาท เป็นต้น 

 

4.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้

                   1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

                   2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ

                   3. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                   สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

                   1. ปรับปรุงบทนิยาม คำว่า “พยาน” หมายความว่า บุคคลซึ่งจะมาให้หรือได้ให้ข้อเท็จจริงต่อพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญา พนักงานผู้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาหรือศาล ในการดำเนินคดีอาญารวมทั้งผู้เชี่ยวชาญ แต่มิให้หมายความรวมถึงจำเลยที่อ้างตนเองเป็นพยาน และเพิ่มบทนิยาม คำว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่” เพื่อให้เกิดความชัดเจนเหมาะสมยิ่งขึ้น

                   2. กำหนดให้คดีความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นคดีมาตรการพิเศษในการคุ้มครองพยาน

                   3. กำหนดให้ในกรณีที่พยานอาจไม่ได้รับความปลอดภัย อาจจัดให้พยานอยู่ในความคุ้มครองตามที่เห็นเป็นการสมควร หรือตามที่พยานหรือบุคคลใดซึ่งมีประโยชน์เกี่ยวข้องได้ร้องขอ การคุ้มครองให้พยานได้รับความปลอดภัยให้รวมถึงการจัดให้พยานอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย เว้นแต่พยานจะไม่ให้ความยินยอม และการปกปิดมิให้มีการเปิดเผยชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ ภาพหรือข้อมูลอย่างอื่นที่สามารถระบุตัวพยานได้

                   4. กำหนดให้ในระหว่างรอการพิจารณา ตามมาตรา 9 กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อป้องกันมิให้พยานได้รับอันตราย สำนักงานคุ้มครองพยานอาจใช้มาตรการทั่วไปในการคุ้มครองพยานไปพลางก่อนหรือประสานหน่วยงานอื่นที่มีภารกิจเกี่ยวข้องให้การคุ้มครองความปลอดภัยไปก่อนได้

                   5. การดำเนินการเพื่อคุ้มครองพยานตามมาตรการพิเศษ เช่น ย้ายที่อยู่หรือจัดหาที่พักอันเหมาะสม จ่ายค่าเลี้ยงชีพ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล หลักฐานทางทะเบียนที่สามารถระบุตัวพยาน และพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล การจ่ายเงินดำรงชีพที่เหมาะสม ให้กับพยานและผู้ใกล้ชิดกับพยานที่ได้รับผลกระทบจากการมาเป็นพยานในคดีอาญา

                   6. ให้สำนักงานคุ้มครองพยานได้รับยกเว้นไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมยุทธภัณฑ์ เช่นเดียวกับข้าราชการทหารและตำรวจตามกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้ การมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง สิ่งเทียมอาวุธปืน และยุทธภัณฑ์ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมกำหนด

                   7. การปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเฉพาะเรื่องที่ได้รับมอบหมาย

                   8. ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้จะต้องผ่านการอบรมตามที่กำหนดและมีอำนาจ ซึ่งได้แก่ (1) สอบปากคำผู้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ (2) มีหนังสือเรียกบุคคลใด ๆ มาเพื่อให้ถ้อยคำเพื่อประกอบการพิจารณา (3) ประสานกับพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล เพื่อให้มีการปกปิดชื่อของพยาน (4) การตรวจค้นควบคุมตัวบุคคลหรือยานพาหนะที่มีเหตุเชื่อว่าจะก่อภยันตรายหรือคุมคามพยาน เป็นต้น

                   9. กำหนดโทษสำหรับผู้ที่เปิดเผยความลับเกี่ยวกับสถานที่อยู่ ชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ ภาพหรือข้อมูลอย่างอื่นที่สามารถระบุตัวพยาน สามี ภริยา ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือบุคคลอื่น ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพยาน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษเป็น 2 เท่าของโทษที่กำหนด

 

5.เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยบำเหน็จความชอบ ค่าทดแทนและการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือช่วยเหลือราชการ เนื่องในการป้องกันอธิปไตยและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้

                   1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยบำเหน็จความชอบ ค่าทดแทนและการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือช่วยเหลือราชการ เนื่องในการป้องกันอธิปไตยและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไป

                   2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                   3. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป

                   สาระสำคัญของร่างระเบียบ

                   1. แก้ไขชื่อผู้แทนส่วนราชการใน ก.บ.ท.ช. ให้ถูกต้องตรงกับชื่อส่วนราชการในปัจจุบัน ดังนี้ (1) “ผู้แทนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน” เป็น “ผู้แทนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” (2) “ผู้แทนกองบัญชาการทหารสูงสุด” เป็น “ผู้แทนกองบัญชาการกองทัพไทย” (3) “ผู้แทนกรมตำรวจ” เป็น “ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”

                   2. กำหนดให้ประธาน ก.บ.ท.ช. มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการใน สปน. จำนวน 2 คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

                   3. แก้ไขเพิ่มเติมอัตราเงินรางวัลสำหรับการสู้รบ โดยให้ถือเกณฑ์ 1 ชั้นหรือขั้น ให้ได้รับเงินรางวัลสำหรับการสู้รบเป็นจำนวน 12 เท่า ของผลต่างระหว่างอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหาร ระดับ ป.1 ชั้น 1 (ปัจจุบัน เท่ากับ 4,870 บาท) กับระดับ ป.1 ชั้น 2 (ปัจจุบัน เท่ากับ 5,100 บาท) เป็นเงินจำนวน 2,760 บาท เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะค่าครองชีพในอนาคตต่อไป โดยใช้หลักการเดียวกันกับข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการพิจารณาบำเหน็จพิเศษในเวลาเหตุฉุกเฉิน พ.ศ. 2529 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 ดังนี้

                             3.1 ผู้อยู่ในเกณฑ์ได้รับ พ.ส.ร. 1 ชั้นหรือขั้น ให้ได้รับเงินรางวัลสำหรับการสู้รบ 1 ชั้นหรือขั้น (เท่ากับ 2,760 บาท เดิมได้รับคนละ 1,200 บาท)

                             3.2 ผู้อยู่ในเกณฑ์ได้รับ พ.ส.ร. 2 ชั้นหรือขั้น ให้ได้รับเงินรางวัลสำหรับการสู้รบ 2 ชั้นหรือขั้น (เท่ากับ 5,520 บาท เดิมได้รับคนละ 2,400 บาท)

                             3.3 ผู้อยู่ในเกณฑ์ได้รับ พ.ส.ร. 3 ชั้นหรือขั้น ให้ได้รับเงินรางวัลสำหรับการสู้รบ 3 ชั้นหรือขั้น (เท่ากับ 8,280 บาท เดิมได้รับคนละ 3,600 บาท)

                             3.4 ผู้อยู่ในเกณฑ์ได้รับ พ.ส.ร. 4 ชั้นหรือขั้น ให้ได้รับเงินรางวัลสำหรับการสู้รบ 4 ชั้นหรือขั้น (เท่ากับ 11,040 บาท เดิมได้รับคนละ 4,800 บาท)

 

ผู้อยู่ในเกณฑ์ได้รับ พ.ส.ร. (ชั้นหรือขั้น)

ระเบียบฯ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (บาท)

ร่างระเบียบฯ ที่ สปน. เสนอ (บาท)

ผลต่างระหว่างอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารฯ

1

1,200

2,760

230 x 12 = 2,760

2

2,400

5,520

460 X 12 = 5,520

3

3,600

8,280

690 x 12 = 8,280

4

4,800

11,040

920 x 12 = 11,040

                   4. แก้ไขเพิ่มเติมอัตราเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ เป็นเงินรายละไม่เกิน 10 เท่า ของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหาร ระดับ ป.1 ชั้น 1 (ปัจจุบัน เท่ากับ 4,870 บาท) ดังนั้น จึงเป็นเงินรายละไม่เกิน 48,700 บาท (เดิมได้รับรายละไม่เกิน 20,000 บาท)

 

การช่วยเหลือกรณีเสียชีวิต เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือช่วยเหลือราชการ

ให้ได้รับเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ

ระเบียบฯ และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ร่างระเบียบฯ ที่ สปน. เสนอ

หมายเหตุ

รายละไม่เกิน 20,000 บาท

รายละไม่เกิน 48,700 บาท

10 เท่า ของอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหาร ระดับ ป.1 ชั้น 1 (4,870 x 10 = 48,700 บาท)

                   5. แก้ไขเพิ่มเติมข้อความว่า “ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหาร” ต่อท้าย “อัตราเงินเดือนข้าราชการทหาร” ทุกแห่ง ในระเบียบฯ นี้

                   6. กำหนดบทเฉพาะกาล ให้การได้รับเงินรางวัลสำหรับการสู้รบ และเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพตามอัตราใหม่ สำหรับเหตุแห่งการได้รับสิทธิที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

 

6.เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ
พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้

                   สาระสำคัญของร่างระเบียบฯ เป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ พ.ศ. 2547 เพื่อให้ส่วนราชการสามารถนำเงินทดรองราชการใช้ทดรองจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายปลีกย่อยในการปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัว และมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment รวมทั้งแก้ไขถ้อยคำหรือความที่ยังไม่ชัดเจนให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน ตลอดจนได้นำข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้รับจากการรับฟังความคิดเห็นมาปรับปรุงร่างระเบียบฯ ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

 

7.เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการของส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการของส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                   สาระสำคัญของร่างระเบียบ

                   1. ยกเลิกระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการของส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. 2550

                   2. กำหนดให้ส่วนราชการมีเงินทดรองราชการเพื่อทดรองจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในต่างประเทศ ในระหว่างที่ยังไม่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ตามจำนวนที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และตามงบประมาณรายจ่ายดังต่อไปนี้

                             2.1 งบบุคลากร เฉพาะค่าจ้างชั่วคราว และเงินเพิ่มพิเศษสำหรับข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ (พ.ข.ต.)

                             2.2 งบดำเนินงาน

                             2.3 งบเงินอุดหนุน

                             2.4 งบอื่นที่จ่ายในลักษณะเช่นเดียวกับ (ข้อ 2.1, 2.2, 2.3) 

                   3. การขอมีเงินทดรองราชการ ให้ส่วนราชการขอทำความตกลงกับ กค. ก่อนวันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ไม่น้อยกว่า 60 วัน

                   4. กำหนดให้เมื่อ กค. อนุญาตให้ส่วนราชการมีเงินทดรองราชการเพื่อทดรองจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในต่างประเทศแล้ว ให้ส่วนราชการเบิกเงินจากคลังเป็นเงินทดรองราชการสำหรับซื้อเงินตราต่างประเทศจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อโอนให้แก่ส่วนราชการในต่างประเทศ โดยส่วนราชการต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันก่อนวันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่

                   5. กำหนดให้เมื่อส่วนราชการได้รับเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณใหม่ตามที่ได้รับจัดสรรแล้ว ให้ดำเนินการเบิกเงินงบประมาณโดยวิธีเบิกหักผลักส่งเพื่อชดใช้คืนเงินทดรองราชการ ทั้งหมดภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับเงินงบประมาณ

                   6. กำหนดให้วิธีปฏิบัติอื่นใดที่เกี่ยวกับเงินทดรองราชการที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการว่าด้วยการนั้น

 

8.เรื่อง ร่างระเบียบการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

                   สาระสำคัญของร่างระเบียบ

                   เป็นการปรับปรุงระเบียบการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เกี่ยวกับงานด้านการเงินการคลังในเรื่องการเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลัง ตลอดจนกำหนดขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานตามระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment รวมทั้งแก้ไขข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการใช้งานในระบบ GFMIS เพื่อรองรับการปรับปรุงระบบ New GFMIS Thai และแก้ไขถ้อยคำหรือความที่ยังไม่ชัดเจนให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน ตลอดจนได้นำข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้รับจากการรับฟังความคิดเห็นมาปรับปรุงร่างระเบียบการเบิกเงินจากคลังฯ ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

 

9.เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การให้ตั้งโรงงานที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การให้ตั้งโรงงานที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้

                   สาระสำคัญของร่างประกาศ

ประเด็นที่ขอแก้ไขเพิ่มเติม

รายละเอียด

1. แก้ไขบทนิยามคำว่า “โรงงานที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ”

เพื่อให้ครอบคลุมทุกประเภทกิจการของโรงงานลำดับที่ 42 ตามที่ระบุในบัญชีท้ายกฎกระทรวง (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535

2. กำหนดข้อยกเว้นในการตั้งโรงงานที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ

กำหนดข้อยกเว้นให้โรงงานที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบสามารถขออนุญาตตั้งโรงงานได้ แม้จะมีระยะห่างจากเขตโรงงานน้ำตาลที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานไม่ถึง 50 กิโลเมตร แต่ต้องได้รับความยินยอมจากโรงงานน้ำตาลในพื้นที่นั้น

3. กำหนดระยะเวลาการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน

กำหนดให้ผู้ที่จะขอตั้งโรงงานที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบเมื่อได้รับการรับรองจาก สอน. แล้ว ต้องดำเนินการให้ได้มาซึ่งใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานภายใน 5 ปี นับจากวันที่ได้รับการรับรอง หากไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาดังกล่าว ถือว่าการรับรองสิ้นสุดลง

 

10.เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกท้องที่ ในราชอาณาจักร พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกท้องที่
ในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่าง
อนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

                   สาระสำคัญของร่างประกาศ

ประเด็น

รายละเอียด

1. บทนิยาม

- “เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต” หมายถึง เหล็กเส้นที่มีลักษณะหน้าตัดกลม หรือเหล็กเส้นกลมที่มีบั้ง หรือครีบซึ่งอาจนำไปใช้เสริมคอนกรีตสำหรับงานก่อสร้างทั่วไปได้

- “เหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต” หมายถึง เหล็กแท่งเล็กสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีภาคตัดขวางเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือเหล็กแท่งเล็กสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีภาคตัดขวางรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีด้านยาวไม่เกิน 1.25 เท่าของด้านกว้าง โดยมีความยาวด้าน 50 มิลลิเมตร ถึง 150 มิลลิเมตร

2. กำหนดการห้ามตั้งหรือขยายโรงงาน

กำหนดห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต หรือโรงงานผลิตเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ซึ่งรวมถึงโรงงานที่ใช้เครื่องจักรที่สามารถนำไปใช้รีดเหล็กเส้นได้ ทุกขนาด ทุกท้องที่ ทั่วราชอาณาจักรเป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่ประกาศฉบับนี้บังคับใช้

3. กำหนดข้อยกเว้น (โรงงานที่ไม่อยู่ในบังคับของประกาศฉบับนี้)

ประกาศฉบับนี้มิให้ใช้บังคับ

(1) ผู้ประกอบการที่ผลิตเหล็กเพลา เหล็กลวดหรือเหล็กรูปพรรณที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีรีดร้อน หรือลวดเหล็กที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีการรีดเย็นที่ได้รับเอกสารการตรวจสอบกระบวนการผลิต เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์และลูกรีด จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

(2) ผู้ประกอบการที่ได้ยื่นขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน/ขยายโรงงาน (รง.3) หรือคำขอใช้ที่ดินเพื่อประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (กนอ. 01/1) ซึ่งได้รับความเห็นชอบรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการกิจการหรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนอย่างรุนแรงแล้ว จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลบังคับใช้

 

เศรษฐกิจ-สังคม

11.เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 ครั้งที่ 3/2561 ครั้งที่ 4/2561 และครั้งที่ 5/2561

                   คณะรัฐมนตรีทีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่ คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) เสนอดังนี้

                   1. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2561 และครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งผ่านการรับรองจากคณะกรรมการฯ แล้ว

                   2. เห็นชอบหลักการแนวทางการบริหารจัดการดาวเทียมหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ตามมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561)

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 ครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2561 และครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งผ่านการรับรองจากคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติแล้ว ประกอบด้วยเรื่องเพื่อทราบ จำนวน 6 เรื่อง และเรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน 4 เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เช่น แนวทางการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาดาวเทียม THEIA  การดำเนินการเพื่อจัดตั้งสำนักงานประสานงานภูมิภาค (Regional Liaison Office – RLO) ของสำนักงานกิจการอวกาศส่วนนอกแห่งสหประชาชาติที่ประเทศไทย และความคืบหน้าการดำเนินโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS – 2) ซึ่งคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติได้มีมติรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนประเด็นต่าง ๆ ตามขั้นตอนเพื่อให้บรรลุตามเป้าหายที่กำหนดต่อไป ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศเห็นชอบตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 และครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ด้วยแล้ว

                   2. (ร่าง) แนวทางการบริหารจัดการดาวเทียมหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ที่กำลังจะสิ้นสุดในปี 2564) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย 2 ประเด็นหลัก สรุปได้ดังนี้

                             2.1 ไม่เห็นควรให้ต่ออายุหรือขยายเวลาสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติได้พิจารณาแนวทางการดำเนินการหลังสิ้นสุดสัญญาฯ จำนวน 4 แนวทาง ได้แก่ 1) จำหน่ายดาวเทียมให้เอกชน 2) รัฐบาลดำเนินการเอง 3) ร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการดาวเทียมตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 และ 4) โอนทรัพย์สินให้บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด เพื่อนำทรัพย์สินออกให้เช่าในฐานะผู้ประกอบการ (Operator) โดยคำนึงถึงข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบ และความสอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว มีมติเห็นชอบตามแนวทางที่ 3 กล่าวคือ เห็นควรคัดเลือกผู้ประกอบการมาบริหารจัดการดาวเทียมภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศทุกดวงที่มีอายุทางวิศกรรมของดาวเทียมเหลืออยู่หลังสิ้นสุดสัญญา รวมทั้งทรัพย์สินต่าง ๆ ตามแนวทางของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556

                             2.2 เห็นชอบให้หลักการให้บริษัทไทยคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินการเชื่อมต่อระบบขับเคลื่อนเพื่อต่ออายุดาวเทียมไทยคม 5 ซึ่งเป็นหนึ่งในดาวเทียมภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (เนื่องจากดาวเทียมไทยคม 5 จะหมดอายุการใช้งานในช่วงเครึ่งปีแรกของปี 2563 แต่สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศจะสิ้นสุดในปี 2564) โดยการต่ออายุดาวเทียมดังกล่าวไม่มีผลทำให้อายุของสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศเปลี่ยนแปลงไป และเมื่อสัญญาฯ สิ้นสุดลง ทรัพย์สินต่าง ๆ
ซึ่งรวมถึงดาวเทียมไทยคมที่มีอายุเหลืออยู่ รัฐจะได้คัดเลือกผู้ประกอบการมาบริหารจัดการดาวเทียมและทรัพย์สินดังกล่าวตามแนวทางพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ต่อไป ทั้งนี้ การต่ออายุดาวเทียมไทยคม 5 จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด

                             2.3 โดยที่มาตรา 60 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็นสมบัติของชาติ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ดังนั้น ในการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับการบริหารกิจการอวกาศของรัฐบาลจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและประโยชน์ของประชาชน ส่วนการบริหารจัดการดาวเทียมหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลตามที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยเห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับไปพิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าวด้วยความรอบคอบ เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ สำหรับการขอความเห็นชอบในหลักการให้บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินการเชื่อมต่อระบบขับเคลื่อนเพื่อต่อดายุดาวเทียมไทยคม 5 ซึ่งเป็นหนึ่งในดาวเทียมภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ นั้น

                         ทั้งนี้  เห็นควร ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะคู่สัญญาตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามขั้นตอนของข้อกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย

 

12.เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ของกรมการขนส่งทางบก

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เสนอดังนี้

                   1. อนุมัติให้ดำเนินโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ของกรมการขนส่งทางบก โดยให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP  Net Cost โดยภาครัฐเป็นผู้ลงทุนค่าที่ดิน ค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางและอาคารที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ ค่าควบคุมงานก่อสร้างและบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานรายปีในส่วนอาคารที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ ขณะที่เอกชนเป็นผู้ลงทุนค่าก่อสร้างในองค์ประกอบอาคารที่ก่อให้เกิดรายได้และครื่องมือและอุปกรณ์และเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของการดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการฯ (Operation and Maintenance : O&M) ในส่วนอาคารและพื้นที่ใช้สอยในการรับผิดชอบของเอกชนและโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางตามกรอบระยะเวลา รวมทั้งเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้และจ่ายค่าสัมปทานให้ภาครัฐตลอดระยะเวลา 30 ปี นับจากปีที่เปิดให้บริการพร้อมทั้งขอให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรีด้วย โดยขอให้คำนึงถึงสถานการณ์ในปัจจุบันที่อาจส่งผลกระทบต่อโครงการฯ เช่น การพัฒนาศูนย์การขนส่งในพื้นที่ใกล้เคียง การพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าต่าง ๆ เป็นต้น

                   2. อนุมัติกรอบวงเงินรวมสำหรับค่างานที่เกี่ยวข้องกับค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางและอาคารที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ ค่าควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน 738.56 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริงต่อไป

                   3. มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กระทรวงคมนาคม (คค.) และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ของโครงการฯ รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการนโยบายฯ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ รายงานว่า

                   โครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ของกรมการขนส่งทางบกมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

หัวข้อ

รายละเอียดโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม

วัตถุประสงค์

    1. เป็นสถานีปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งระหว่างประเทศไทยไปสู่ภายในประเทศรวมถึงเชื่อมต่อระบบการขนส่งจากทางถนนไปสู่ทางรถไฟร่วมกับโครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่ – นครพนม รองรับการขนส่งสินค้าจากทางตอนใต้ของประเทศจีนและทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามกับภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

    2. เป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์หรือสินค้าบรรจุหีบห่อ (Break – Bulk Cargo)

    3. เพื่อเป็นศูนย์ให้บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ทำให้สามารถ
ดำเนินการพิธีการที่เกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกได้ในจุดเดียว

ขอบเขตของโครงการ

    เป็นการพัฒนาสถานีขนส่งสินค้า (Truck Terminal) ซี่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางถนน เน้นการรองรับกิจกรรมการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบนเส้นทางสาย R12 (ไทย – ลาว – เวียดนาม – จีนตอนใต้) และรองรับการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่ระบบราง ผ่านเส้นทางรถไปทางคู่สายบ้านไผ่ – นครพนม โดยมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ การเปลี่ยนหัวหางลากพ่วงรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ การให้บริการยกขนตู้สินค้า การให้บริการเช่าใช้พื้นที่อาคารรวบรวมและกระจายสินค้า อาคารคลังสินค้า ตลอดจนการพัฒนาและให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบการขนส่งและโลจิสติกส์

ที่ตั้ง

    ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของด่านพรมแดนและด่านศุลกากรนครพนม และใกล้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 212 และสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 3 รวมทั้งมีความเชื่อมต่อกับโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่ – นครพนม มีขนาดพื้นที่รวม 115 ไร่ 1 งาน 34 ตารางวา โดย คค. อยู่ในขั้นตอนการเสนอร่างพระกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พ.ศ. ....

ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

    สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แจ้งว่า โครงการฯ ไม่เข้าข่ายประเภทและขนาดโครงการหรือกิจการที่ต้องจัดทำรายการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมขอให้ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏในรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination : IEE) อย่างเคร่งครัด

แผนการดำเนินโครงการ

   - ประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนภายในเดือนเมษายน 2562

   - ลงนามในสัญญาร่วมลงทุนภายในเดือนตุลาคม 2562

   - เริ่มก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลางและอาคารที่ภาครัฐใช้ประโยชน์ รัฐเป็นผู้ดำเนินการภายในเดือนกันยายน 2562

   - เริ่มก่อสร้างในองค์ประกอบอาคารที่ก่อให้เกิดรายได้และเครื่องมือและอุปกรณ์ (เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ) ภายในเดือนมีนาคม 2563

    - เปิดให้บริการภายในเดือนตุลาคม 2564

 

                    ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเห็นควรลงทุนในรูปแบบ PPP Net Cost กำหนดเวลาการให้เอกชนร่วมลงทุนเป็นระยะเวลา 30 ปี โดยภาคเอกชนเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้และจ่ายค่าสัปทานให้ภาครัฐตลอดระยะเวลา 30 ปี นับจากปีที่เปิดให้บริการ ซึ่งเอกชนจะได้รับผลตอบแทนทางการเงิน ร้อยละ 9 (ประมาณการรายได้ 30 ปี เป็นเงิน 3,973.26 ล้านบาท) กำหนดรูปแบบการให้สิทธิในทรัพย์สินของโครงการแบบ Build – Transfer – Operate (BTO) โดยเอกชนจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เอกชนเป็นผู้ลงทุนให้กับกรมการขนส่งทางบกเมื่อดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนเปิดให้บริการ และกรมการขนส่งทางบกจะทำหนังสือรับรองการเริ่มให้บริการกับเอกชนเพื่อบริหารจัดการและบำรุงรักษาตลอดระยะเวลาสัมปทาน

 

13.เรื่อง โครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ (โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบดังนี้

                   1. รับทราบผลการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ และรับทราบการปรับเงื่อนไขคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ โครงการเช่าระยะยาว (Leasehold)

                   2. ให้กระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (ธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสิน) ที่เข้าร่วมโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐเร่งประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบถึงเงื่อนไขคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ โครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) ที่กำหนดขึ้นใหม่ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีความสนใจและเข้าร่วมโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ โครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) เพิ่มขึ้น

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   กระทรวงการคลัง (กค.) รายงานว่า

                   1. ผลการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้

                             1.1 กรณีการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ กรมธนารักษ์ได้เปิดประกวดโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ เพื่อหาผู้ประกอบการลงทุนก่อสร้างโครงการ จำนวน 6 แปลง โดยมีผลการประกวดโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ จำนวน 5 แปลง (แปลง อ.ชร. 31 จังหวัดเชียงราย ไม่มีผู้ยื่นซอง) และมียอดลงทะเบียนจองสิทธิ (เปิดจองตั้งแต่วันที่ 19 – 31 สิงหาคม 2559) จำนวนทั้งสิ้น 2,322 ราย และต่อมามีผู้ลงทะเบียนจองสิทธิที่นำเอกสารหลักฐานมายื่นขอใช้สิทธิเพียง 406 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 17.50 ของจำนวนผู้ยื่นจองทั้งหมด 2,322 ราย โดย ธอส. และธนาคารออมสินแจ้งต่อ กค. ว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้จองสิทธิไม่มายื่นเอกสารหรือไม่สามารถยื่นเอกสารเพื่อคัดกรองคุณสมบัติได้ เนื่องจากผู้จองสิทธิส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีหรือเคยมีกรรมสิทธิ์บ้านมาแล้ว ซึ่งไม่เป็นไปตามคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน นอกจากนั้น จากการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นจองสิทธิ มีผู้ผ่านคุณสมบัติเพียง 388 ราย เนื่องจากส่วนใหญ่เข้าข่ายเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนเช่นกัน จึงไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้และต่อมากรมธนารักษ์ได้พิจารณายกเลิกการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 2615 เนื่องจากมีข้อเสนอแนะเรื่องที่จอดรถที่อาจส่งผลให้รูปแบบโครงการที่เสนอไว้เปลี่ยนแลงไป อีกทั้งที่ผ่านมามีกระแสคัดค้านโครงการจากประชาชนและชมุชนโดยตลอด โดยคาดว่าจะทวีความรุนแรง และอาจส่งผลให้การดำเนินงานหยุดชะงักและเกิดความเสียหายต่อทั้งภาครัฐและภาคเอกชน นอกจากนี้ กรมธนารักษ์ได้เห็นชอบการปรับลดเนื้อที่โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ พบ. 261 พร้อมทั้งปรับลดจำนวนบ้านที่ปลูกสร้าง เนื่องจากเกิดปัญหาข้อพิพาทกับเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียง

                   สรุปสถานะโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ดังนี้

โครงการ

แปลง

จำนวน (หน่วย)

ผู้ขอใช้สิทธิ

ผู้ผ่านคุณสมบัติ

สถานะปัจจุบัน

โครงการเช่าระยะสั้น

กท. 5050 เนื้อที่
3 – 1 – 79 ไร่

432

173
ราย

173
ราย

กรมธนารักษ์ตรวจแบบแปลนก่อสร้างพร้อมผ่านรายงานผลกระทบการจราจรและผ่านความเห็นชอบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างที่บริษัท อารียาฯ ขออนุญาตปลูกสร้างต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น

โครงการเช่าระยะยาว

พบ. 260
เนื้อที่
29 – 3 – 95 ไร่

377

30
ราย

28
ราย

- แปลง พบ. 260 อยู่ระหว่างปรับสภาพพื้นที่

- แปลง พบ. 261 เจ้าพนักงานท้องถิ่นอนุญาตก่อสร้างแล้วโดยบริษัท กลอรี่ฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างบ้านที่พักอาศัยในเฟส 1 จำนวน 43 หลัง แล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างดำเนินการในเฟส 2 จำนวน 100 หลัง (ส่วนที่เหลือจำนวน 120 หลัง จะดำเนินการในเฟส 3 ต่อไป)

พบ. 261
เนื้อที่
21 – 0 – 11 ไร่

263

67
ราย

61
ราย

รวม

1,072

270 ราย

262 ราย

 

 

                             1.2 กรณีการซ่อมแซมและหรือต่อเติมที่อยู่อาศัยบนที่ดินราชพัสดุ กรมธนารักษ์ได้ประสานกับ ธอส. และธนาคารออมสิน ในเขตพื้นที่เพื่อเริ่มดำเนินโครงการ โดยประชาสัมพันธ์โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐผ่านสื่อท้องถิ่นและทำหนังสือแจ้งเวียนให้ผู้เช่าที่ราชพัสดุได้รับทราบข้อมูลเพื่อขอรับสิทธิการเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ออกหนังสือรับรองให้แก่ผู้เช่าสำหรับใช้เป็นหลักฐานในการยื่นขอกู้เงินแล้ว จำนวน 267 ราย วงเงิน 149.116 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) ธกส. จำนวน 107 ราย วงเงิน 83.806 ล้านบาท (2) ธนาคารออมสิน จำนวน 160 ราย วงเงิน 65.310 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2561)

                   2. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (3 มกราคม 2561) เห็นชอบกรอบดำเนินการโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ ซึ่งการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการสนับสนุนให้ประชาชนมีความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองนโยบายเช่นเดียวกันกับโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ ประกอบกับปัจจุบันการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ โครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ พบ. 260 และ พบ. 261 ยังมีผู้เข้าร่วมโครงการไม่เต็มจำนวนตามที่กำหนดไว้ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้และเป็นไปในแนวทางเดียวกับการดำเนินโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ ตลอดจนเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายให้กับประชาชน กค. จึงขอปรับเงื่อนไขคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ โครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) จากเดิม เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ปัจจุบันไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย เป็น (1) ประชาชนผู้ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (2) ประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อคนต่อเดือน (Gross Income) และ (3) ประชาชนทั่วไป โดยให้พิจารณาสิทธิผู้เข้าร่วมโครงการแก่ผู้ที่มีคุณสมบัติตามลำดับก่อนหลัง ทั้งนี้ ไม่บังคับใช้กับผู้ที่ขอเข้าร่วมโครงการก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะเห็นชอบตามที่เสนอนี้

 

14.เรื่อง โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้ 1. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 2,130 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน 1,597 ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน 533 ล้านบาท

                   2. เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน 1,597 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ

                   3. ขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  โดย กฟภ. จะดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด

                    สาระสำคัญของเรื่อง

                   โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี  มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนการจ่ายไฟของสายเคเบิลใต้น้ำระบบ 33 เควี  ที่มีอายุการใช้งานครบ 30 ปี ในปี 2560 และสายเคเบิลใต้น้ำระบบ 115 เควี ชนิด Oil Filled ที่ชำรุด เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่เกาะสมุย  เกาะพะงัน  และเกาะเต่า เพื่อลดความเสียหายเนื่องจากไฟฟ้าดับ  ทั้งนี้ โครงการมีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี  (2562-2563) วงเงินลงทุนรวม 2,130 ล้านบาท

 

15.เรื่อง โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2561 ของการประปาส่วนภูมิภาค

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้ 

                   1. เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนมสารคาม – บางคล้า – (แปลงยาว) – (คลองนา) – (เทพราช) (รองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) และโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเวียงเชียงของ อำเภอเวียงเชียงของ  จังหวัดเชียงราย  (รองรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ  สำหรับงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ  และในส่วนของเงินกู้ในประเทศ ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง (ตามหนังสือกระทรวงการคลัง  ที่ กค 0907/17875 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561)

                   2. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาค รับความเห็นของกระทรวงการคลัง (หนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค 0907/17875 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561) และสภาพัฒนาการเศรฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                   สาระสำคัญของเรื่อง 

                   กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาคเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี 2561 ของการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
(1) โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาพนมสารคาม  - บางคล้า – (แปลงยาว) – (คลองนา) – (เทพราช) (รองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) และ (2) โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเวียงเชียงของ อำเภอเวียงเชียงของ จังหวัดเชียงราย (รองรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ) โดยที่โครงการฯ
การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนมสารคาม เป็นโครงการที่อยู่ภายใต้แผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560 – 2565) ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกมีมติเห็นชอบแผนดังกล่าวแล้วในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2560 และคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมดังกล่าวด้วยแล้วเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560
ส่วนโครงการฯ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเวียงเชียงของ เป็นโครงการที่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
จังหวัดเชียงราย

 

16.เรื่อง ขอความเห็นชอบการดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล ช่วงที่ 3 ระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2566)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบโครงการต่อเนื่องจากเดิม “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล” โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล” ดำเนินการในช่วงที่ 3 ระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2566)

                   2. อนุมัติกรอบแผนการขยายศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล และกรอบอัตรากำลังการจ้างครูอัตราจ้าง 99 ศูนย์ 77 จังหวัด  297 คน

                   สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 297,148,480 บาท นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน 28,031,500 บาท ซึ่งหากไม่เพียงพอ ขอให้กระทรวงศึกษาธิการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อดำเนินการภายใต้มาตรการด้านงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท ตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 ในโอกาสแรกด้วย สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป  ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี  ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ

                    สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล ช่วงที่ 2 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2557-2561) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2561 ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว โดยมีการจัดตั้งศูนย์การเรียนฯ จำนวน 53 ศูนย์การเรียน ใน 45 จังหวัด เข้าร่วมเป็นศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเด็กป่วยในโรงพยาบาลตามพระราชดำริ  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวม 48 ศูนย์การเรียน และมีเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังได้รับโอกาสทางการศึกษาเฉลี่ยปีละ 37,558 คน เดือนละ 3,130 คน  ในจำนวนนี้สามารถเข้ารับการศึกษาในระบบ/เรียนในสถาบันศึกษาเดิมได้ร้อยละ 77.6

                   2. เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง กระทรวงศึกษาธิการ จึงเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการดำเนินงานโครงการต่อเนื่องในช่วงที่ 3 ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2562 – 2566) โดยมีเป้าหมายให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพในวัยเรียนที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องในโรงพยาบาลและเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาทั่วประเทศ ได้รับบริการจากศูนย์การเรียนฯ จำนวนไม่ต่ำกว่า 50,000 คนต่อปี โดยจะจัดตั้งศูนย์การเรียนฯ ทั่วประเทศให้ครบทุกจังหวัด จำนวน 99 ศูนย์การเรียน และมีครูผู้สอน (อัตราจ้าง) รวมทั้งสิ้น 297 คน รวมทั้งจัดหาวัสดุ สื่อ อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ในการดำเนินงานที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ

                   นอกจากนี้เห็นควรให้มีการเปลี่ยนชื่อเดิม “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล” เป็น “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล”

                   จากการดำเนินโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาลดังกล่าว จะทำให้เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลได้รับบริการทางการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึงในรูปแบบที่เหมาะสม ไม่เกิดความท้อแท้ และไม่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน  มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี  อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รวมทั้งเป็นการประหยัดงบประมาณของรัฐอีกทางหนึ่ง (เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลไม่ต้องเรียนซ้ำชั้น)

 

17.เรื่อง ขออนุมัติงบกลางเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ปี 2560 เพิ่มเติม

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ขยายกรอบวงเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ปี 2560 เพิ่มเติม จากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น กรอบวงเงิน 3,136,.735 ล้านบาท เป็น 3,211.048 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก 74.313 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลัง  (กค.) อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2562 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ปี 2560 ครัวเรือนละ 3,000 บาท รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการขอรับการจัดสรรงบประมาณ และประสานงานกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อเร่งรัดการโอนเงินให้เกษตรกรได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็ว ตามความเห็นสำนักงบประมาณ

 

18.เรื่อง การกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.)  ดำเนินการกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1 ในกรอบวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ โดยให้ สพพ. ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการออกพันธบัตรต่อไป

 

19.เรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2561/2562

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2561/2562 ในอัตราอ้อยตันละ 700.00 บาท ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส หรือเท่ากับร้อยละ 97.29 ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศที่ 719.47 บาทต่อตันอ้อย  และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ 42.00 บาท ต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิต ปี 2561/2562 เท่ากับ 300.00 บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ

 

20.เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอารี จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด วังศิลา ที่จัหงวัดนครศรีธรรมราช

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอดังนี้

                   1. อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอประทานบัตรที่ 6/2557 ของบริษัท ศิลาอารี จำกัด (บจก. ศิลาอารี) ตามที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532

                   2. อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอประทานบัตรที่ 7/2557 ของห้างหุ้นส่วนจำกัด วังศิลา (หจก. วังศิลา) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532

                   และให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดไปดำเนินการต่อไปด้วย

                   ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) กำกับให้บริษัท ศิลาอารี จำกัด และห้างหุ้นส่วนวังศิลา ดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย

 

21.เรื่อง รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอดังนี้

          1. รับทราบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และรายงานสรุปผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2561

                   2. ให้หัวหน้าส่วนราชการให้ความสำคัญกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและนำผลการประเมินไปปรับปรุงพัฒนาตนเองด้านคุณธรรมและความโปร่งใสอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ

                   3. ให้หน่วยงานที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

                             3.1 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นดำเนินการ ดังนี้

                                      3.1.1 ด้านกำกับดูแลการประเมิน

                                              กำกับติดตามการประเมิน (Monitoring) การดำเนินการต่าง ๆ ของหน่วยงานภายใต้กำกับดูแลของแต่ละหน่วยงาน รวมไปถึงการผลักดันให้หน่วยงานภายใต้กำกับดูแลให้ความร่วมมือและดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางการประเมินที่กำหนด

                                      3.1.2 ด้านส่งเสริมการยกระดับผลการประเมิน

                                              1) นำผลการประเมินไปพิจารณากำหนดมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมให้หน่วยงานภายใต้กำกับดูแลมีการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตนเองเพื่อให้มีการยกระดับผลการประเมินให้สูงขึ้น

                                              2) กำกับติดตามการดำเนินการเพื่อปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตนเองของหน่วยงานภายใต้กำกับดูแล

                             3.2 สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) มีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริมการยกระดับผลการประเมินด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

                             3.3 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) มีบทบาทหน้าที่ในการให้ข้อเสนอแนะด้านส่งเสริมการยกระดับผลการประเมิน โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีการรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐควบคู่กับการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ

                             ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการใด ๆ ให้ดำเนินการปรับเปลี่ยนงบประมาณของหน่วยงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อใช้ในการดำเนินการไปพลางก่อน และให้จัดทำคำขอจัดตั้งงบประมาณแบบบูรณาการตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป โดยให้สำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการดำเนินการเนื่องจากเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล

                   และขอความร่วมมือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

22.เรื่อง รายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก Doing Business 2019 และการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 – 2562

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดอันดับความยาก – ง่าย ในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก Doing Business 2019 (พ.ศ. 2562) และการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 – 2562 รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. รายงานผลการจัดอันดับความยาก – ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก Doing Business 2019 (พ.ศ. 2562) ได้จัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจเป็นอันดับที่ 27 จาก 190 ประเทศทั่วโลก จัดเป็นอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ (อันดับ 2) และมาเลเซีย (อันดับที่ 15) ซึ่งถึงแม้ว่าอันดับของประเทศไทยปรับลดลงจากปีก่อน 1 อันดับ แต่ประเทศไทยมีค่าคะแนนความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business Score : EODB Score) รวมทุกด้านเท่ากับ 78.45 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ได้คะแนนเท่ากับ 77.44 คะแนน และได้รับคะแนนดีขึ้นในเกือบทุกด้าน (ได้รับคะแนนดีขึ้นใน 9 ด้าน จากทั้งหมด 10 ด้าน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 4 ด้านหลักที่ประเทศไทยได้มีการปฏิรูปเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ได้แก่ (1) ด้านการขอใช้ไฟฟ้าซึ่งได้รับคะแนนสูงถึง 98.57 คะแนน (จากเดิม 90.45 คะแนน) และได้รับการจัดอันดับดีขึ้นเป็นอันดับที่ 6 จาก 190 ประเทศทั่วโลก (จากเดิมอยู่อันดับที่ 13)   (2) ด้านเริ่มต้นธุรกิจที่ได้ปรับปรุงค่าธรรมเนียมให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนในการเริ่มต้นธุรกิจลดลง (3) ด้านการชำระภาษี ที่ได้ปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อลดระยะเวลาในการยื่นภาษีนิติบุคคล และ (4) ด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่ได้ปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อลดระยะเวลาในการตรวจสอบเอกสารส่งออก

                   2. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา มีผลการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจที่สำคัญ เช่น (1) การสร้างการรับรู้ให้แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับงานบริการภาครัฐที่ได้รับการพัฒนาเพื่อการยกระดับประสิทธิภาพในการให้บริการและเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (โดยสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย) และ (2) การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลหลักประกันทางอิเล็กทรอนิกส์ (ข้อมูลสังหาริมทรัพย์) ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดทำฐานข้อมูลและตรวจสอบหลักประกันการชำระหนี้ที่ครบถ้วน ทันสมัยอันจะเป็นประโยชน์ต่อการได้รับสินเชื่อ

                   3. เพื่อให้ประเทศไทยมีผลการจัดอันดับความยาก – ง่ายในการประกอบธุรกิจ ในรอบต่อไป (Doing Business 2020) ดีขึ้น สำนักงาน ก.พ.ร. จึงได้รวบรวมแผนการดำเนินงานในการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 13 หน่วยงาน และขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นเพิ่มเติมและเสนอขอปรับแผนดังกล่าวในบางส่วนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง โดยแผนการดำเนินการฯ หน่วยงานรับผิดชอบและความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้

                             3.1 ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ : พัฒนา ปรับปรุง และสร้างการรับรู้ เกี่ยวกับระบบการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e - Registration) โดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงแรงงาน)

                             3.2 ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง : พัฒนาระบบยื่นขออนุญาตก่อสร้างการควบคุมการก่อสร้างอาคารและการติดตั้งประปา [โดยกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)]

                             3.3 ด้านการขอใช้ไฟฟ้า : ปรับปรุงอัตราค่าบริการการขอใช้ไฟฟ้า (โดยกระทรวงมหาดไทย)

                             3.4 ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน : เชื่อมโยงข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Zoning Layer) และผังเมืองในพื้นที่ทั่วประเทศไทย (โดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพาณิชย์)

                             3.5 ด้านการได้รับสินเชื่อ : พัฒนาระบบข้อมูลหลักประกันทางธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ และส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม [โดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และธนาคารแห่งประเทศไทย] โดยกระทรวงคมนาคมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลในลำดับถัดไป เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาประเภทของข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้โดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกัน และขยายไปยังหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งภาคเอกชนต่อไป อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทยขอตัดเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านธุรกิจค้าปลีกออกจากแผนการดำเนินการฯ ที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ เนื่องจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีแผนการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว

                             3.6 ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย : ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อยกระดับการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย และเพื่อลดภาระต้นทุนในการประกอบธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน
(โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกระทรวงพาณิชย์) โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ขอปรับปรุงรายละเอียดของแผนการดำเนินการฯ ให้เป็นปัจจุบัน กล่าวคือ เสนอให้เพิ่มกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจำกัด

                             5.7 ด้านการชำระภาษี : ผลักดันการชำระภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาช่องทางการชำระเงินสมทบให้แก่กองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน (โดยกระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงาน) โดยกระทรวงแรงงานขอปรับถ้อยคำให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น

                             3.8 ด้านการค้าระหว่างประเทศ : พัฒนาระบบศุลกากรล่วงหน้า ระบบการขนส่งทางน้ำ และระบบคลังข้อมูลทางการค้าของไทย (โดยกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพาณิชย์)

                             3.9 ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง : พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับศาล (โดยสำนักงานศาลยุติธรรม)

                             3.10 ด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย : พัฒนาเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี/เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ระบบการยื่นคำร้องทางอิเล็กทรอนิกส์ และระบบข้อมูลบุคคลล้มละลายทุจริต ตลอดจนแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (โดยกระทรวงยุติธรรม)

 

23.เรื่อง ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน ก.ก.ต.) เสนอแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ดังนี้

                   สำนักงาน ก.ก.ต. เสนอว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้เห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและมีมติเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยให้กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ และสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้การดำเนินงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้

                   1. กำชับให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่และลูกจ้างในสังกัดถือปฏิบัติตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551 ในการให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

                   อนึ่ง แนวทางมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวม 2 มติ ได้แก่

                             1) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 [เรื่อง มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง]

                             2) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2550 [เรื่อง สรุปผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง] สรุปได้ดังนี้

                   1.1 แนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543

                             (1) กำชับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกประเภท
ทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2539 โดยเคร่งครัดโดยเฉพาะการให้ความร่วมมือช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อได้รับการร้องขอจากคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง รวมทั้งการวางตัวเป็นกลางของข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทและทุกระดับดังกล่าวด้วย

                             (2) นับแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง การแต่งตั้ง (โยกย้าย) ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทและทุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้พิจารณาเท่าที่จำเป็น รวมทั้งไม่ควรจัดให้มีการฝึกอบรมหรือประชุมสัมมนาในช่วงระยะเวลาประมาณ 10 วันก่อนวันเลือกตั้งเพราะอาจจะกระทบต่ออัตรากำลังเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะต้องปฏิบัติงานการเลือกตั้ง

                   1.2 แนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2550

                             (1) ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคมช่วยกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว

                             (2) ให้มีการสนธิกำลังระหว่างทหาร ตำรวจ พลเรือน และอาสาสมัครด้านความปลอดภัยเพื่อให้การคุ้มครองประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งได้รับความปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

                             (3) ขอรับการสนับสนุนด้านบุคลากรและสถานที่จากหน่วยงานของรัฐในการจัดการเลือกตั้งซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2539 ให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และท้องถิ่นให้ความร่วมมือช่วยเหลือและสนับสนุนในการดำเนินการเลือกตั้ง

                             (4) ให้กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ  และท้องถิ่นให้การสนับสนุนเกี่ยวกับสถานที่ปิดประกาศและที่ติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งในบริเวณสาธารณสถานของรัฐ สถานที่สำหรับให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองใช้ในการโฆษณาหาเสียงและออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ของรัฐสำหรับผู้สมัครและพรรคการเมืองให้เพียงพอและเท่าเทียมกัน

                             (5) ให้คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจวางตัวเป็นกลางทางการเมืองอย่างเคร่งครัด

                   2. ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

                   3. ให้การสนับสนุนการดำเนินงานในการให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผ่านทางสื่อต่าง ๆ ของรัฐ ทั้งสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หอกระจายข่าว และเสียงตามสาย

                   4. เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถสนับสนุนการเลือกตั้งได้ตามความเหมาะสม

 

24.เรื่อง การดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนชั่วคราว เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเลเพิ่มเติม

                    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้

                    1. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถมายื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือ เพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล ให้ครอบคลุมคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร ภายหลังวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 และขยายระยะเวลาการดำเนินการขอหนังสือคนประจำเรือ จัดทำทะเบียนประวัติ หรือบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ออกไปถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562

                    2. ขยายระยะเวลาเปิดศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อจัดทำทะเบียนประวัติและออกหนังสือคนประจำเรือ ออกไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562

                    3. ให้กระทรวงการต่างประเทศ มอบอำนาจในการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non - Immigrant) รหัส L – A ให้กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในการดำเนินการตรวจลงตราให้กับแรงงานต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือหนังสือรับรองสถานะบุคคล ที่ได้รับหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง

สาระสำคัญ

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า

                    1. ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถมายื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือ เพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2561 กำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่ถือหนังสือเดินทางเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือหนังสือรับรองสถานะบุคคล ที่ยังไม่หมดอายุ และเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรก่อนหรือในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 สามารถมายื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง เพื่อรับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และรับอนุญาตให้ทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พร้อมทั้งจัดทำทะเบียนประวัติหรือบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ระหว่างวันที่ 3 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2562

                    2. ในการดำเนินการเปิดให้มีการขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวเพื่อทำงานในกิจการประมงทะเล ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2562 ปรากฏว่ามีคนต่างด้าวมาขอรับหนังสือคนประจำเรือ เพียงจำนวน 1,813 คน ไม่เพียงพอต่อความต้องการแรงงานของนายจ้างที่ประกอบกิจการประมงทะเลอีกไม่ต่ำกว่า 23,000 คน

 

25.เรื่อง ขอเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าชายเลนหนองจิก ท้องที่ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ดังนี้

                   1. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2543 (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 3/2543 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าชายเลนหนองจิกท้องที่ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จำนวน เนื้อที่ 9 ไร่ 2 งาน 12 ตารางวา เพื่อใช้เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนบ้านปากบางตาวา จังหวัดปัตตานี โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป

                   2. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อปลูกและบำรุงชายเลนทดแทนจำนวน 2,323,414 บาท ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ดำเนินการโดยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ

                   3. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ต่างประเทศ

26.เรื่อง การเสนอเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 14

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบต่อเอกสารจากการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 14 จำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ (1) แผนแม่บทการสื่อสารอาเซียน ระยะที่ 2 (2) ค่านิยมหลักของอาเซียนในการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล (3) กรอบความร่วมมือว่าด้วยการร่วมผลิตสื่อโสตทัศน์อาเซียน และ (4) การทบทวนคุณลักษณะเทคนิคของเครื่องรับ (ถอดรหัส) สัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิทัล DVB – T2 (IRD)

                   2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารตามข้อ 1 ในการประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียน ครั้งที่ 22 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยกรมประชาสัมพันธ์จะประสานกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อแจ้งยืนยันความเห็นชอบของไทยต่อสิงคโปร์ในฐานะประธานคณะมนตรีประสานงานอาเซียนอย่างเป็นทางการต่อไป

                   ทั้งนี้ หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของเอกสารทั้ง 4 ฉบับดังกล่าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยให้สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง (กต. แจ้งว่ามีการรับรองแผนแม่บทการสื่อสารอาเซียน ระยะที่ 2 แล้ว ในที่ประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียน ครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์)

                   สาระสำคัญของเอกสารจากการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 14 จำนวน 4 ฉบับ สรุปได้ ดังนี้

                   1. แผนแม่บทการสื่อสารอาเซียน ระยะที่ 2 เป็นกรอบและแนวทางเพื่อการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายหลัก (ประชาชนของประเทศสมาชิกอาเซียน สตรีและเยาวชน ภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ ภาคประชาชนสังคม ผู้นำทางความคิด สื่อ และกลุ่มผู้รับสารในต่างประเทศ) ในประเด็นเกี่ยวกับอาเซียนในการพัฒนาและวิสัยทัศน์ของประชาคมอาเซียน รวมถึงเป็นแนวทางในการพัฒนาแผน กลยุทธ์การสื่อสารและการดำเนินงานการสื่อสารประชาสัมพันธ์ของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2025 ให้บรรลุผลสำเร็จ คือ “อาเซียน:ประชาคมแห่งโอกาสสำหรับทุกคน”

                   2. ค่านิยมหลักของอาเซียนในการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล เป็นแนวทางให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติและให้ความรู้แก่ประชาชนในอาเซียน เพื่อให้สามารถใช้สื่อดิจิทัลอย่างปลอดภัยและความรับผิดชอบ

                   3. กรอบความร่วมมือว่าด้วยการร่วมผลิตสื่อโสตทัศน์อาเซียน  มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการอำนวยความสะดวกในการร่วมผลิตระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงส่งเสริมเผยแพร่เอกลักษณ์ของอาเซียนสู่สายตาพลเมืองอาเซียนและประชาคมโลก

                   4. การทบทวนคุณลักษณะเทคนิคของเครื่องรับ (ถอดรหัส) สัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิทัล DVB-T2 (IRD) ได้กำหนดคุณลักษณะเทคนิคของเครื่องรับ (ถอดรหัส) สัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิทัล DVB – T2 (IRD) ที่สามารถนำมาใช้งานในกลุ่มประเทศอาเซียนได้ และเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถรับชมช่องรายการ Free – to – air (FTA) บนอุปกรณ์มือถือหรืออุปกรณ์พกพาได้ ผ่านการรับสัญญาณภาคพื้นดิน รวมถึงเพื่อเตรียมการให้รัฐบาลสามารถส่งข่าวสาร ข้อมูล ไปยังพลเมืองของอาเซียนได้ทุกที่ทุกเวลา

 

27.รื่อง การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (International Federation of the Red Cross and Red Crescent Societies : IFRC) และเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับเลขาธิการ IFRC เนื่องจากเป็นการดำเนินงานตามความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งเป็นพันกรณีที่ประเทศไทยได้ลงนามรับรองไว้แล้วเมื่อปี พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขโดยไม่กระทบสาระสำคัญ ให้กระทรวงมหาดไทยสามารถดำเนินการต่อไปได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ (กำหนดการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ภายในเดือนมีนาคม 2562 ณ สำนักเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย)

                   ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (International Federation of the Red Cross and Red Crescent Societies : IFRC) มีวัตถุประสงค์ เพื่อกำหนดขอบเขตและพื้นที่หลักของความร่วมมือระหว่าง IFRC กับอาเซียนในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งและการปรับตัวของชุมชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านการจัดการภัยพิบัติ โดยมีความสอดรับและเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ การจัดลำดับความสำคัญ และทรัพยากรของประเทศตนเอง

 

28.เรื่อง การสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลก วาระปี พ.ศ. 2562 – 2566

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอ ดังนี้

                   1. อนุมัติให้ราชอาณาจักรไทยสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัชชารัฐภาคีแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 22 วาระปี พ.ศ. 2562 – 2566

                   2. เห็นชอบให้นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการสมัครคัดเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัชชารัฐภาคีแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 22 วาระปี พ.ศ. 2562 – 2566 โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการขอเสียงและแลกเสียง สนับสนุนกับรัฐภาคีสมาชิกอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก และการไขว้เสียงกับอนุสัญญาอื่น ๆ

                   3. เห็นชอบให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ดำเนินการจัดตั้งคณะทำงานในการรณรงค์สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลก ในการประชุมสมัชชารัฐภาคีแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ 22 วาระปี พ.ศ. 2562 – 2566 โดยมอบหมายให้สำนักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการมรดกโลก วาระปี พ.ศ. 2562 – 2566 ให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยประสานงานกลางอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก (National Focal Point) และ กต. เพื่อใช้ในกิจกรรมการรณรงค์สมัครเข้ารับการคัดเลือกและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (กำหนดการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลกจะจัดขึ้นในการประชุมสมัชชารัฐภาคีแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 22 วาระปี พ.ศ. 2562 – 2566 ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2562 ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ทั้งนี้ ราชอาณาจักรไทยต้องดำเนินการหาเสียงเลือกตั้ง ตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 เป็นต้นไป)

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   คณะกรรมการมรดกโลก (World Heritage Committee) ทำหน้าที่พิจารณาในการจัดสรรความช่วยเหลือทางการเงินตามคำขอจากรัฐภาคี เพื่อดูแลแหล่งวัฒนธรรมและธรรมชาติที่มีความสำคัญระดับโลกและพิจารณาคุณสมบัติและคำขอรับการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติเป็นแหล่งมรดกโลก รวมทั้งถอดถอนแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติที่อยู่ในภาวะอันตราย (World Heritage in danger) จากบัญชีรายชื่อแหล่งมรดกโลก โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการมรดกโลกประกอบด้วยรัฐภาคีสมาชิกอนุสัญญาคุ้มครองโลก จำนวน 21 ประเทศ จากรัฐภาคีสมาชิกแห่งอนุสัญญาฯ จำนวน 193 ประเทศ ใน 5 ภูมิภาค (1) ยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือ (2) ยุโรปตะวันออก (3) ลาตินอเมริกาและคาริเบียน (4) เอเชียและแปซิฟิก (5) แบ่งเป็น 5.1) แอฟริกา (Africa States) และ 5.2) อาหรับ (Arab States) ที่ผ่านมาราชอาณาจักรไทยเคยดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการมรดกโลก จำนวน 3 สมัย คือ พ.ศ. 2532 – 2538   พ.ศ. 2540 – 2546 และพ.ศ. 2552 – 2556 การสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลกแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของราชอาณาจักรไทยในเวทีโลก และเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการดำเนินงานของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกในการปกป้องคุ้มครองแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติต่อไป

 

29.เรื่อง บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเคนยา

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเคนยา และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอ

                   บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเคนยา มีสาระสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างไทยกับเคนยาในประเด็นหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การจัดลำดับความสำคัญของชุดสิทธิประโยชน์ที่ใช้ในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยผ่านการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ การเสริมสร้างระบบสุขภาพบนพื้นฐานการสาธารณสุขมูลฐาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านสุขภาพ โดยกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเคนยาได้ร่วมกันจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ และกระทรวงสาธารณสุขของทั้งสองประเทศได้ให้ความเห็นชอบต่อบันทึกความเข้าใจฯ แล้ว

                   ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเคนยา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ในการประชุมวิชาการรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 30 มกราคม –2 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร

 

30.เรื่อง ขอความเห็นชอบเอกสาร Comprehensive Framework on Enhancing Trade and Economic Partnership between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อเอกสาร Comprehensive Framework on Enhancing Trade and Economic Partnership between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามเอกสาร Comprehensive Framework ดังกล่าว เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับจีนเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ

                   สาระสำคัญของเอกสาร Comprehensive Framework on Enhancing Trade and Economic Partnership between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง (political Commitment) ที่มุ่งเน้นการยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับจีน โดยครอบคลุมความร่วมมือ 7 สาขา ได้แก่ ด้านการค้า อุตสาหกรรมและการลงทุน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การเงิน การท่องเที่ยว และความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค รวมทั้งความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยและจีน ใน 7 สาขาดังกล่าวที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน

                   ทั้งนี้ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับคือเป็นการแสดงถึงเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายที่มุ่งยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน และจะใช้เป็นพื้นฐานและแนวทางให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ และช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง

 

แต่งตั้ง

31.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ
(กระทรวงยุติธรรม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้ง นางสาวรวิวรรณ จตุรพิธพร ผู้อำนวยการสำนัก (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (นิติการ) ระดับสูง) สำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

32.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้

                   1. นายยงยุทธ สุทธิชื่น ผู้ช่วยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี

                   2. นางสุมิตรา อติศัพท์ ผู้ช่วยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี

                   3. นายธนสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง

 

33.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ด้านการบริหารธุรกิจ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอแต่งตั้ง นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ด้านการบริหารธุรกิจ) แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2562 เป็นต้นไป

 

34.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ รวม 5 คน โดยนับวาระใหม่ ดังนี้

                   1. นายจิรชัย มูลทองโร่ย                              ประธานกรรมการ

                   2. นายสุวิชญ โรจนวานิช                                        กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   3. รองศาสตราจารย์บุญสนอง รัตนสุนทรากุล        กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   4. นายดิสทัต โหตระกิตย์                              กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   5. นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์                               กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2562 เป็นต้นไป

 

35.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เสนอแต่งตั้ง นายธานินทร์ ผะเอม ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ แทน นางรัชนีพร พุคยาภรณ์ ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2562 เป็นต้นไป

 

36.เรื่อง การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนสถาบันหรือองค์การอิสระ และบุคคลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับการผังเมืองเป็นกรรมการในคณะกรรมการผังเมือง

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนสถาบันหรือองค์การอิสระ และบุคคลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับการผังเมืองเป็นกรรมการในคณะกรรมการผังเมือง รวม 13 คน ดังนี้

                     1. ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน 

                             (1) นายปรีชา รณรงค์                        ด้านการผังเมือง

                             (2) นายสมชัย ศรีวิบูลย์                       ด้านการผังเมือง

                             (3) นายตรีภพ จันทรประภา                 ด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์

                             (4) นายสายสุรีย์ บุนนาค                    ด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์

                             (5) นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์                   ด้านนิติศาสตร์

                             (6) นายพิชัย อุทัยเชฏฐ์                       ด้านเศรษฐศาสตร์

                             (7) นางสาวศิริวรรณ ศิลาพัชรนันท์          ด้านสิ่งแวดล้อม และเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการสอนในหลักสูตรเกี่ยวกับการผังเมืองในสถาบันอุดมศึกษา

                             (8) นายสด แดงเอียด                         ด้านโบราณคดี

                             (9) พลเอก เกษม ยุกตวีระ                   ด้านสังคม

                   2. ผู้แทนสถาบันหรือองค์การอิสระ และบุคคลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับการผังเมือง
จำนวน 4 คน

                             (10) นายวัฒนา เชาวสกู                      บุคคลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับการผังเมือง

                             (11) นายสมศักดิ์ จุฑานันท์                  บุคคลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับการผังเมือง

                             (12) นายสมศักดิ์ ตั้งทรงศิริศักดิ์              บุคคลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับการผังเมือง

                             (13) นายกมล ตรรกบุตร                     ผู้แทนสภาวิศวกร

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2562 เป็นต้นไป

 

37.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารหอภาพยนตร์

                   คณะรัฐมนตรีมีเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารหอภาพยนตร์ รวม 8 คน ดังนี้

                   1. นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล                 ประธานกรรมการ

                   2. หม่อมหลวงวราภา อุกฤษณ์               กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปวัฒนธรรม

                   3. นายประวิทย์ แต่งอักษร                   กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาพยนตร์

                   4. นายนนทรีย์ นิมิบุตร                      กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาพยนตร์

                   5. หม่อมราชวงศ์ปิยฉัตร ฉัตรชัย             กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน

                   6. นายพงษ์อาจ ตรีกิจวัฒนากุล              กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหาร

                   7. นางสาววันเพ็ญ นิโครวนจำรัส           กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบัญชีและการเงิน

                   8. นายมารุต บูรณรัช                         กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2562 เป็นต้นไป

 

38.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แทนตำแหน่งที่ว่าง

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์เอกชัย กี่สุขพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารการศึกษา เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2562 เป็นต้นไป

 

39.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้

                   1. นายประสงค์ ประไพตระกูล ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการข้าว

                   2. นายกฤษณพงศ์ ศรีพงษ์พันธุ์กุล อธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการข้าว ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top