'เชง สุพรรณ'ธัญญ์นิธิ ชวรัตน์นิธิโชติ จากเซียนพระสู่สนามการเมือง ชูนโยบาย'ดอนเมือง'เมืองท่องเที่ยวพันล้าน
“เชง” ธัญญ์นิธิ ชวรัตน์นิธิโชติ หมายเลข 11 ผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เขตดอนเมือง ผู้สมัครส.ส.หน้าใหม่ ที่วางแว่นส่องพระกระโดดลงสู่สนามการเมืองระดับชาติเป็นครั้งแรก
อะไร ทำให้ชายผู้นี้กล้าหาญลงสนามที่หินอย่างเขตดอนเมือง ที่รู้กันดีว่า “เจ้าถิ่น” เป็น “กระดูกชิ้นโต” ที่อยากจะขับเคี่ยวต่อกรได้ในเวลานี้
เพียงแค่ยกแรกก็เจอกับของแข็ง ต้องปลดป้ายหาเสียงลงทันที เขาคนนี้คือใคร “เอาลงเอง นักเลงพอ” ไปติดตามกันครับ
“เชง” ธัญญ์นิธิ ชวรัตน์นิธิโชติ เป็นลูกหลานชาวสุพรรณบุรี ที่เข้ามาตามหาความฝันในเมืองใหญ่ ก็จะเข้าสู่วงการพระเครื่องตั้งแต่สมัยนุ่งกางเกงขาสั้นไปโรงเรียน ด้วยความชอบพระเครื่องเป็นทุนเดิม บวกกับมีนิสัยชอบค้าขาย จึงทำให้เขาปล่อยเช่าพระเครื่องตั้งแต่ยังเด็ก จนก้าวขึ้นมาเป็นเซียนพระระดับประเทศ
“ตอนผมอยู่วงการพระถือเป็นคนที่หนึ่งที่สร้างประวัติศาตร์ให้กับวงการพระ ถึงจะอายุน้อยแต่ทั้งซื้อ ทั้งขาย เป็นพระระดับท็อปของวงการพระทั้งนั้น ผมเป็นคนที่เวลาอยู่ตรงไหนต้องทำให้สุด ถ้าพัฒนาต้องพัฒนาให้สุด เล่นก็ต้องเล่นให้สุด เช่นเดียวกับวงการพระ ที่เคยสร้างประวัติศาสตร์ปล่อยเช่าพระเครื่องราคาสูงสุดหลักหลายสิบล้านบาท พระระดับไฮคลาสในวงการพระจะมีโอกาศได้ซื้อขายทั้งหมด”
จากประสบการณ์ในวงการพระเครื่องทำให้ได้คลุคลีกับนักการเมือง และผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายต่อหลายท่าน กระทั่งเจอผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่สนิทสนมกันแนะนำให้เขาเข้าสู่สนามการเมือง
ไตอนแรกก็ไม่คิดอะไร อาจจะเป็นเพราะท่านเห็นว่าเราชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ท่านก็เลยบอกว่ามาช่วยกัน เผื่อจะช่วยชาวบ้านได้ เลยตัดสินใจลงสนามการเมืองท้องถิ่น เมื่อ 7-8 ที่ผ่านมา และลงพื้นที่ดอนเมือง
จากการลงพื้นที่ทำให้เขารู้สึกผูกพันกับชาวบ้าน ที่สำคัญในเขตดอนเมืองมรชาวจังหวัดสุพรรณบุรีอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้การเข้าหาชาวบ้านเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข
แม้พื้นที่เขตดอนเมืองนั้น ถือว่ามีเจ้าถิ่นที่ชั้นเชิงการเมืองที่สูงกว่า แต่ก็ไม่ทำให้เขามองว่าเป็นปัญหาหนักใจ กลับใช้มันเป็นแรงพลักให้ต้องพิสูจน์ตัวเองมากขึ้น
“ผมมองว่าเราเป็นตัวของเรา เราไมแข่งกับใคร มาแข่งกันพัฒนาดีกว่า”
หลังตัดสินใจลงการเมืองในนามพรรคประชาธิปัตย์ “เชง” ต้องเจอบททดสอบจากนักการเมืองรุ่นพี่ทันทีจนต้องปลดป้ายหาเสียง
“ก่อนปลดป้ายหาเสียงเฟซบุ๊กของพี่เก่ง การุณ โหสกุล ได้โพสต์ต่อว่าสำนักงานเขตดอนเมืองถึงความไม่เท่าเทียมกันในการติดป้ายหาเสียงหน้าสำนักงานเขต แต่เผอิญว่าภาพที่ลงในเฟซบุ๊ก เป็นป้ายหาเสียงของผม เหมือนกับว่าผมไปเอาเปรียบเขาในการติดป้ายหาเสียง ซึ่งผมได้ชี้แจงไปแล้วว่า ไม่ได้ตั้งใจจะเอาเปรียบใคร เพราะผมทำเรื่องไปขอกกต.แล้วว่าติดได้หรือไม่ และกกต.ได้อนุญาตให้ติดได้จึงติดมาตลอด แต่เมื่อไม่สบายใจผมก็เอาลงได้ พอเอาลงปรากฎว่ามีเสียงตอบรับจากประชาชนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นที่ให้กำลังดีมาก เพราะส่วนตัวไม่คิดจะเอาเปรียบใครอยู่แล้ว”
ส่วนนโยบายหาเสียงครั้งนี้ ผู้สมัคร ส.ส.รุ่นใหม่คนนี้ บอกกับเราว่า เขามีแนวคิดที่ทำให้ “ดอนเมือง” เป็นเมืองจุดหมายปลายทาง หรือ Donmuang Destination Town
เขาอธิบายว่า การทำดอนเมืองเป็นดิสติเนชั่นทาว เราจะทำให้เป็นเมืองจุดหมายปลายทาง เป็นเมืองแห่โอกาส จากการสำรวจพบว่า แต่ละปีมีผู้คนจากทั่วโลกเดินทางมาที่นี่ 40 ล้านคน ซึ่งเราขอแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ และใช้จ่ายคนละ 500 บาท จะมีเงินหมุนเวียนเป็นพันล้าน เงินเหล่านี้จะกระจายไปยังชุมชนและกลุ่มสตาร์อัพ คนรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจเอง ร้านโชว์ห่วย โอสเทล ซึ่งดอนเมืองมีผู้ประกอบการโอสเทลเยอะมาก จากการลงพื้นที่พบว่า มีราคาตั้งแต่ 700 ถึง 1,000 บาท
การทำให้ดอนเมืองเป็น เดสติเนชั่นทาวน์ ต้องมีแผนรองรับ ทั้งการทำสะพานลอยเชื่อมต่อกับสนามบิน การทำอุโมงค์ทางลอดจากถนนสรงประภาเชื่อมต่อกับถนนวิภาวดี ที่ผ่านมาเคยคุยกับฝ่ายวิศกรรมโยธา บอกว่าทำได้ เขาเคยร่างแบบให้ดูแล้ว ใช้งบประมาณ 70 ล้านบาท ถ้าทำได้จะสามารถดึงคนที่มาใช้บริการสนามบินดอนเมืองได้ ก่อนหนึ่งคืนคุณต้องมานอนที่นี้ สามารถเดินทางเข้าตัวเมืองได้ หรือ ไปท่องเที่ยวจุดอื่นได้
เวลาเดินทางมาสามารถเอาดอนเมืองเป็นพที่พักตั้งหลักก่อนได้ จะเข้าเมืองหรือออกต่างจังหวัดสามารถเอาเป็นศูนย์กลางของการเดินทางได้ ที่สำคัญอยู่ใกล้สนามบิน
เมื่อสร้างจุดเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมแล้วต้องทำอย่างไรต่อ ผมเห็นว่า ต้องทำถนนสรงประภา เป็น “บลูเลอร์วาร์ด” โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณมาก เพียงแค่ปรับอาคารให้เป็นระเบียบ จัดระเบียบทางเท้าและใหสำนักเขตเข้ามาควบคุมการขายสินค้าบนทางเท้า สามารถพัฒนาเป็นสตรีทฟูด เป็นไนท์มาร์เก็ตได้ ถ้าทำได้ดีตรงนี้จะเป็นระดับโลก เพราะคนจะมาซื้อของ จะเป็นภาพที่สวย ชาวต่างชาติมาจะได้เห็นเลยอาหารวัฒนธรรมของไทย ที่สำคัญตรงนั้นมีวัดดอนเมือง และดอนเมืองยังมีกลิ่นไอความเป็นชนบท มีชุมชนโบราณ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ สร้างรายได้ให้กับคนเมืองจริงๆ เป็นการแก้ปัญหาปากท้องในเบื้องต้น แต่รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยซึ่งใช้งบประมาณไม่ต้องเยอะมาก
ส่วนเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนั้น จะพัฒนากล้องวงจรปิดกว่า 1,800 ตัว ซึ่งถือเป็นอันดับ 2 ของกรุงเทพมหานคร ให้เป็นกล้องที่จดจำใบหน้า สามารถป้องปรามได้ดีกว่า มีศูนย์ประสานงานเพื่อขอดูภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่ออำนวยความสะดวกต่อเจ้าหน้าที่
อีกโครงการหนึ่งที่อยากทำคือระบบขนส่งรางเบา หรือ โมโนเรล บนถนนสรงประภา เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจร เนื่องจากถนนเส้นนี้การจราจรคับคั่งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน หากมีระบบขนส่งรางเบาเข้ามาจะทำให้ลดปัญหาการจราจรได้ ลองนึกภาพเหมือนซานฟานซิสโก ที่มีรถรางวิ่งในเมือง จะเป็นจุดหนึ่งที่ดึงคนมาท่องเที่ยวได้ด้วย
ส่วนเรื่องคะแนนเสียงตอนนี้นั้น “เชง” บอกว่า ถือว่าดีมากครับ เห็นได้จากวันที่เปิดศูนย์ประสานเลือกตั้ง ซึ่งเชิญชาวบ้านผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เป็นการวัดใจว่างานที่เราทำเดินมาถูกทางหรือไม่ พอถึงเวลาชาวบ้านมากันเต็มเลย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาวบ้านจะมาเยอะขนาดนี้ ผมได้สอบถามทีมงานว่าก่อนหน้านี้เคยมีแบบนี้หรือไม่ ทีมงานบอกว่า ไม่เคยมี เก้าอี้ 6-7 ร้อยตัวที่จัดไม่พอ
“แสดงว่าสิ่งที่เราทำนั้นมาถูกทาง จึงมองว่าสิ่งเหล่านี้คือกำลังใจที่ทำให้เราเดินหน้าทำงานต่อไป”
24 มีนาคมนี้ ต้องจับตาดูว่า ผู้สมัคร ส.ส.หน้าใหม่จะเข้าวินได้หรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี