นายกุลเดช หรือ เทศแป๊ะ พัวพัฒนกุล ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 6 จ.อุทัยธานี อดีตเคยเป็น ส.ส.เขต 1 มาหนึ่งสมัย ก่อนหน้านั้นเคยเป็นรองนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองอุทัยธานี สมัยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ เป็นนายกเทศบาลเมืองอุทัยธานี

หลังจากนั้น ได้พลิกผันตัวเองมาเล่นการเมืองใหญ่ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ลงสมัคร ส.ส. เขต 1 จนได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.มาหนึ่งสมัย หลังจากมีการยึดอำนาจนายกุลเดช ได้ลงพื้นที่หาสียงกับภรรยามาตลอดตามตลาดนัด โดยได้สร้างการบ้านไว้กับประชาชนในเขต 1 โดยประชาชน พ่อค้า แม่ค้าไว้ใจในหลายพื้นเป็นกันเองกับประชาชน กล้าพูดกล้าทำเข้าถึงทุกพื้นที่ จึงได้ฐานเสียงคะแนนจากประชาชน พ่อค้า แม่ค้ามาตลอด

โดยประชาชนในพื้นที่เชื้อว่าความผูกพันธ์ที่เทศแป๊ะลงพื้นที่ประจำ สร้างความเป็นกันเองพบปะพูดคุยกันมาตลอดเชื่อว่าคะแนนเสียงเดิมยังคงเดิมอยู่ ราคาต่อรองก็ยังเหนือกว่าคูแข่ง แต่ก็ประมาณไม่ได้เนื่องจากผู้สมัคร ส.ส นั้นมีจำนวนมาก บางจุดฐานเสียงก็ถูกตัดไปบ้าง

นายกุลเดช หรือ เทศแป๊ะ พัวพัฒนกุล ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์  6 จ.อุทัยธานี

นายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคภูมิใจไทย เบอร์ 7 จ.อุทัยธานี 

ด้าน นายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคภูมิใจไทย เบอร์ 7 จ.อุทัยธานี เป็นผู้สมัครหน้าใหม่ ซึ่งเป็นหลานชายนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ผู้สมัครเขต 2 ซึ่งผู้สมัครหน้าใหม่ อายุ เพียง 30 ปี เศษ ซึ่งประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ในเขต 1 นั้นยังไม่ทราบและก่อนหน้านั้นไม่เคยลงเล่นการเมือง

โดยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ว่าที่ผู้สมัครเขต 2 ได้จับหลานชายมาลง เขต 1 โดยมีฐานเสียงในพื้นที่ผู้นำท้องถิ่น แต่ละพื้นที่ เป็นฐานเสียงให้ โดยจำเพราะในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานี 

เมื่อนายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้สมัครหน้าใหม่เมื่อประกาศตัวลงมาเล่นการเมืองนั้นชอบลงพื้นที่แนะนำตัวเองมาตลอด โดยได้แรงสนับสนุนจากนายชาดาและผู้นำท้องถิ่นต่างๆ ให้ความร่วมมือ เนื่องจากนายเจเศรษฐ์ เป็นผู้สมัครหน้าใหม่ จึงไม่กล้าพูดเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ยังไม่กล้านำเสนอนโยบายพรรคเท่าไหร่ จึงต้องอาศัยนายชาดาในการหาเสียงแต่ละพื้นที่ที่นายชาดา เคยเป็นผู้สมัคร เขต 1 มาก่อน จนปลุกกระแสเปลี่ยนผู้แทนฯได้ระดับหนึ่ง แต่จะจุดติดหรือไม่..วัดกันที่ช่วงเวลาที่เหลือ เนื่องว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในเขต 1 หน้าใหม่มีถึง 24 คน ที่จะต้องกอบโกยคะแนนเสียงปาร์ติ้ลิสต์ให้กับพรรคที่สังกัดดังกล่าว