โครงการประชาสังคมกับการเสริมสร้างธรรมาภิบาลท้องถิ่น เพื่อพัฒนาระบบและกลไกในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน : กรณีศึกษาจังหวัดนครราชสีมา
การทุจริตคอร์รัปชันเป็นพฤติกรรมด้านมืดของสมาชิกในสังคมซึ่งปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ทั่วโลก สำหรับประเทศไทยก็มีหลักฐานมาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในระบบราชการ การทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยมีวิวัฒนาการมาตามลำดับ มีความซับซ้อนมากขึ้น มีการจัดเตรียมอย่างเป็นระบบเป็นการกระทำทุจริตโดยรอบคอบ มีบุคคลที่เกี่ยวข้องสนับสนุนหลายฝ่าย มักเกิดกับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐโดยอาศัยข้าราชการหาเหตุผลที่แนบเนียนเพื่อจัดเตรียมโครงการขึ้นมา รูปแบบวิธีการทุจริตในปัจจุบันมีระบบเชื่อมโยงอย่างหนาแน่นตั้งแต่ระดับนักการเมืองข้าราชการระดับสูง และนักธุรกิจ ทำให้องค์กรภายนอกตรวจสอบได้ยาก และไม่สามารถเอาผิดทางกฎหมายได้ จึงเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ
สำหรับจังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ ข้อมูลจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จังหวัดนครราชสีมา รายงานว่าระหว่างปี พ.ศ. 2555 – 2559 มีข้อกล่าวหาร้องเรียนจำนวน 471 เรื่อง หน่วยงานที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด 4 ลำดับแรก คือ องค์การบริหารส่วนตำบล 175 เรื่อง เทศบาล 165 เรื่อง หน่วยงานทางการศึกษา 45 เรื่อง และองค์การบริหารส่วนจังหวัด 20 เรื่อง จะเห็นได้ว่าหน่วยงานที่ถูกร้องเรียนจะเกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ของพนักงานของรัฐและการใช้งบประมาณ คณะผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการพัฒนาระบบและกลไกในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลโดยเน้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานทางการศึกษา โดยใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม
ผลการวิจัยพบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีพฤติกรรมในการคอร์รัปชันหลากหลายรูปแบบ เช่น มีการสร้างเอกสารหลักฐานเท็จเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการตรวจประเมิน มีการยักยอก การรับสินบนหรือสินน้ำใจที่มีราคาสูงมาก การแอบเอางบประมาณหรือทรัพย์สินของรัฐไปเป็นของตน การใช้ตำแหน่งหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทรับเหมาของตนเองและพรรคพวก การจัดซื้อจัดจ้างและการสมยอมราคา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการซื้อหรือจ้าง ด้านภาคการศึกษามีการทุจริตคอร์รัปชันที่สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มการเรียกรับเงินจากการซื้อขายตำแหน่งและการเรียกรับประโยชน์จากหน้าที่ ได้แก่ การสรรหา การบรรจุ การแต่งตั้ง การโยกย้าย การประเมินผลงานเพื่อเสนอขอวิทยฐานะ การแต่งตั้งคณะกรรมการระดับต่างๆ 2) กลุ่มการจัดซื้อจัดจ้างหรือเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ได้แก่ การทุจริตในการสร้างสนามฟุตซอล การฮั้วประมูลในสถานศึกษา การจัดซื้อจัดจ้างผิดระเบียบ การเรียกเก็บเงิน (แป๊ะเจี๊ยะ) หรือส่วยทางการศึกษา 3) กลุ่มการเบียดบังเวลาและทรัพย์สินราชการ ได้แก่ การใช้รถราชการไปทำงานส่วนตัว การใช้เวลาราชการในการขายสินค้าออนไลน์ การใช้ทรัพย์สินของทางราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตัว การเบิกน้ำมันรถยนต์ของทางราชการแต่ไปทำธุระส่วนตัว การชาร์จโทรศัพท์ที่สำนักงาน ความหย่อนยานในการปฏิบัติหน้าที่ งานวิจัยยังพบว่าด้านภาคประชาสังคม มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบการบริหารจัดการในภาครัฐเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง การฮั้วประมูล การเรียกรับผลประโยชน์
ข้อค้นพบเกี่ยวกับการพัฒนาระบบกลไกเสริมสร้างธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน มี 3 ส่วน คือ 1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการวิจัยฯ เสนอให้มีการสร้างธรรมาภิบาลท้องถิ่นจังหวัด 2) สถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ซึ่งเกิดจากการเข้าร่วมโครงการวิจัย มีการประชุมกันในองค์กร สร้างความตระหนักรู้โดยเริ่มพัฒนาโรงเรียนและบูรณาการหลักธรรมาภิบาลเข้ากับแผนงานของโรงเรียน 3) ภาคประชาสังคมจังหวัดนครราชสีมา ได้มีการสร้างเครือข่ายในการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันใช้ชื่อว่า เครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชันจังหวัดนครราชสีมา (คตช.นม.) เพื่อเป็นองค์กรต้นแบบที่จะขยายบทบาทในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตและคอร์รัปชันในหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน พรรคการเมือง ครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา สถานศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา
สรุปข้อค้นพบหลักจากงานวิจัย คือ “คอร์รัปชันในจังหวัดนครราชสีมายังไม่มีท่าทีว่าลดลง” ซึ่งนำมาสู่ข้อเสนอแนะว่า ควรหลักธรรมาภิบาลในการบริหารองค์กรของรัฐอย่างเข้มแข็ง โดยมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ปรับปรุงระบบควบคุมภายใน ตลอดจนระบบการร้องเรียนร้องทุกข์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับการสร้างจิตสำนึกและค่านิยมแก่ประชาชน ผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาในระบบโรงเรียน
ข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากงานวิจัย ปรีชา อุยตระกูล, พิมพ์พจี บรรจงปรุ, อารีย์ ศรีอำนวย, จิรัฐิพร ไทยงูเหลือม และวีระ พลอยครบุรี (2560). “โครงการประชาสังคมกับการเสริมสร้างธรรมาภิบาลท้องถิ่น เพื่อพัฒนาระบบและกลไกในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน : กรณีศึกษาจังหวัดนครราชสีมา”. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยแห่งชาติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี