จับเข่าคุย‘ธนาธร’! เปิดคำสัญญา-ภารกิจ‘อนาคตใหม่’ ขอดมุมคิดทำไม‘รัฐบาลหน้า’ลำบาก
บนชั้น 8 ของอาคาร ไทยซัมมิท ทาวเวอร์ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตซีอีโอธุรกิจหมื่นล้าน อดีตผู้บริหารอาณาจักรไทยซัมมิท เปิดห้องเปิดใจในหมวกใบปัจจุบัน คือ “หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่” และแม่ทัพนำแนวร่วมปักธง “ความคิด อุดมการณ์ และประชาธิปไตย” ถึงย่างก้าว ทิศทาง อุปสรรค และแผนการ ที่จะใช้ต่อกรในศึกเลือกตั้งหนสำคัญของประเทศ
ถือเป็นการเปิดใจ ภายหลัง “ธนาธร” เพิ่งสร้างมาตรฐานความโปร่งใส ด้วยการโอนทรัพย์สินกว่า 5 พันล้านบาท ให้กับ blind trust เป็นผู้จัดการดูแล ในระหว่างที่เขากระโดดลงสนามการเมืองอย่างเต็มตัว และเป็นช่วงโค้งสุด ที่นับถอยหลังเพียงไม่กี่วัน ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 24 มีนาคม จะเกิดขึ้น
+ มองกลับไปที่พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นพรรคที่เกิดใหม่ ปัจจัยอะไรที่ผลักดันให้กระแสของพรรคติด 1ใน5 พรรคที่มีคนนิยมมาก
“ธนาธร” : มี 3 อย่าง 1.เทคโนโลยี เราสามารถสื่อสารกับคนได้โดยไม่มีต้นทุน การเลือกตั้ง 8 ปีที่แล้วกับวันนี้ไม่เหมือนกัน วันนี้สามารถสื่อสารโดยตรงกับประชาชาชนได้ วันนี้เสพข่าวได้เยอะขึ้น เข้าถึงข้อมูลได้
2.กว่าจะมีกระแสทุกวันนี้ เราต้องทำงานทางความคิดกับนักศึกษา 30 มหาวิทยาลัย พบปะพูดคุยกับนักศึกษา พูดเรื่องการเมือง พูดเรื่องประชาธิปไตย อุดมการณ์พรรค เดินไปรับฟังความคิดเห็น รับรู้ปัญหาหน้างาน กระแสมาถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่อยู่ ๆ มาเอง เกิดจากการทำงานหนักก่อนหน้านี้ ตั้งแต่คนยังไม่รู้จักเรา เราต้องออกไปให้คนเขาเห็นหน้า
3.สารที่เราต้องพยายามสื่อ ความตั้งใจ ความมุ่งหวังของเรา เขาต้องการเห็น เรายืนยันเรื่องประชาธิปไตย เรื่องสืบทอดอำนาจ วาระของเราที่นำเสนอเป็นเรื่องก้าวหน้า วันนี้เรายินดีมากที่พรรคการเมืองอื่นออกมาพูดเหมือนกับเรา เราเป็นคนนำประเด็นได้ สิ่งที่เราพูดมีความหมาย มีพลัง ประชาชนยอมรับ
“ฉะนั้น ถ้าถามว่า ทำไมกระแสดี คือ หนึ่ง เทคโนโลยี สอง การทำงานหนัก และ สาม วาระที่นำเสนอ”
+ การเลือกตั้งล่วงหน้า เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา มีคนออกไปใช้สิทธิ์กว่า 80 % ปรากฎการณ์ตื่นตัวเช่นนี้ บอกอะไรกับเรา
“ธนาธร” : 12 ปีที่ผ่านมา มีรัฐประหาร 2 ครั้ง มีรัฐธรรมนูญ 5 ฉบับ นายกรัฐมนตรี 7 คน การชุมนุมที่ทำให้คนต้องตายอีกนับไม่ถ้วน คนตื่นตัวทางการเมืองเต็มที่ ต้องการความเปลี่ยนแปลงเต็มที่ 12 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้ง มันบ่มเพาะจิตสำนึกของคนทางการเมือง นี่เป็นการเลือกตั้งในรอบ 8 ปี เลือกตั้งครั้งแรกหลังจากการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ประชาชนถูกยึดอำนาจไป 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลที่ไม่ได้มาจากประชาชน ไม่ได้ฟังประชาชน เสียงความเดือดร้อนของประชาชนไม่ได้ยินไปถึงผู้มีอำนาจ 4-5 ปีที่ผ่านมาประชาชนไม่พอใจ ไม่มีจะกิน เป็นความเจ็บแค้น เป็นความเจ็บปวดของประชาชนในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ไม่แปลกใจเลยที่คนจะออกไปใช้สิทธิ์ ใช้เสียง กำหนดอนาคตของประเทศของตัวเอง ได้อำนาจของตัวเองคืนมา และค่อนข้างจะมั่นใจด้วยว่า ถ้าการเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใสและยุติธรรม จำนวนคนออกมาใช้สิทธิ์ จะสูงเป็นประวัติการณ์
+ ปฎิเสธไม่ได้ว่า ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ ภาพของความปรองดองที่เป็นรูปธรรม จะเป็นอย่างไร
“ธนาธร” : ต้องรณรงค์อย่างหนักแน่น มีทางอื่นไหม ถ้าอยากเปลี่ยนผ่านอยากสันติ ตนนึกไม่ออก เราเลือกวิธีในรัฐสภาเพราะเราไม่ต้องการเสียเลือดเสียเนื้อ 1 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของการรณรงค์ของเรามันไปไกลขนาดไหน ปฏิเสธไม่ได้ 1 ปีที่ผ่านมาอนาคตใหม่ทำอะไรผิดพลาดเยอะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ 1 ปี เราคงทำหลายอย่าง แตกต่างไปจากนี้ ให้ดีกว่านี้
“แต่ที่เราทำสำเร็จ คือ ผลักดันให้ประชาชนเข้าใจความสำคัญของประชาธิปไตย ทำให้กระแสเรียกร้องประชาธิปไตยกลับมาน่าหลงใหล กลับมามีเสน่ห์อีกครั้ง”
เราทำให้หลายพรรคการเมืองต้องพูดตามเรา ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ การต่อต้านการรัฐประหาร มันมีเสน่ห์อีกครั้งหนึ่ง อุดมการณ์มันมีคะแนนได้ ก่อนหน้านี้มีแต่คนพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจกับการเมืองมันเป็นปัญหาเดียวกัน เราไม่มีวิธีอื่น มีวิธีเดียวคือรณรงค์ไปเรื่อย ๆ อย่าไปคิดถึงผลการเลือกตั้ง ชนะทางอุดมการณ์ก่อน ถึงจะได้เสียง นี่คือส่งความคิด รณรงค์ให้ประชาชนเชื่อว่าวาระของคุณเป็นวาระแห่งชาติ เอาวาระของคุณเป็นวาระของสังคม เสียงจะมาเอง
“ฉะนั้นวิธีเปลี่ยนผ่าน คือ รณรงค์ต่อไป เลือกตั้งเสร็จก็ทำงานต่อ อธิบายกับประชาชนต่อว่าทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญปี 60”
หลังจากการเลือกตั้งคุณจะเห็นพรรคการเมืองใหม่ ทั้งองคาพยพ ไม่หยุดอยู่กับที่ ใครที่ได้รับความไว้วางใจ ใครที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ทำงานในสภาผู้แทน ฯ ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายค้าน หรือ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
“องคาพยพของอนาคตใหม่” ที่ไม่อยู่ในรัฐสภาจะทำต่อทันที รณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจรัฐธรรมนูญ 60 ถ้าประชาชนไม่เข้าใจ ไม่มีพลังประชาชนหนุนเรา คุณมีในสภา 300 เสียง คุณก็แก้ไม่ได้ คุณจะแก้ได้ คุณต้องมีเสียงทั้งในสภาและมีพลังของสังคม มีเสียงในสภาอย่างเดียวก็แก้ไม่ได้ กลับกันถ้าคิดแต่จะมีเสียงในสภา ซื้อ ส.ส. ซื้อกำนัน ซื้อผู้ใหญ่บ้าน ได้คะแนน แต่ไม่มีพลัง ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ ต้องมีวาระ มีความฝัน บอกประชาชน ให้ประชาชนเชื่อเหมือนกับคุณ
“เราสัญญากับประชาชนไว้ว่าหลังเลือกตั้งเราจะทำงานต่อ ทำตามที่พูดไว้ทุกอย่าง อย่าไปกังวลเรื่องคะแนนเสียง นี่คือการเดินทางยาว อย่าไปคิดว่าเลือกตั้งครั้งนี้จะได้คะแนนเท่าไหร่ จะชนะยังไง จะแปรกระแสเป็นคะแนนเสียงยังไง นี่เป็นเกมยาว สร้างพรรคที่เข้มแข็ง ยึดกันด้วยอุดมการณ์เท่านั้นถึงจะชนะได้ เกมยาวอย่างเดียว”
+ ประเมินว่ารัฐบาลหน้าจะอยู่ได้ไม่นาน
“ธนาธร” : อย่าไปคิด หวยมันออกได้ทุกหน้า ไม่มีความจำเป็น ซีนาริโอหลังการเลือกตั้งเกิดอะไรบ้าง 1.รัฐบาลแห่งชาติยังมีความเป็นได้อยู่ กรณีที่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ 2.รัฐบาลที่เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายประชาธิปไตยยังมีเครื่องมืออีกเยอะ ไม่ว่าจะศาลรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ สตง. ป.ป.ช. กกต. ทำลายแล้วเปลี่ยนขั้วจับ อาจจะเกิด “กลุ่มงูเห่าภาค 2” หรือ “ยุบพรรค” อีกรอบก็เกิดได้ “รัฐประหาร” อีกรอบก็เกิดได้ ทุกฝ่ายประเมินกันรายวัน โดยเฉพาะฝ่ายที่ต้องการสืบทอดอำนาจซึ่งมีเครื่องมือเยอะ เล่นได้หลายเครื่องมือ อย่าไปคิดเยอะว่าหลังเลือกตั้งจะเกิดอะไรขึ้น สถานการณ์เปลี่ยนทุกวัน กระแสเปลี่ยนทุกวัน ทุกฝ่ายปรับกลยุทธ์ทุกวัน ต้องตั้งรับและตั้งรุกรายสัปดาห์
+ แนวคิดของการปักธง 2475 สานต่อภารกิจของคณะราษฎร์
“ธนาธร” : 80 ปีที่ผ่านมา มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งกี่คน ไม่ถึงครึ่ง นับอย่างเคร่งครัด คือ 27 ปี นับอย่างง่าย คือ ต่ำกว่า 30 ปี อีก 50 ปีที่เหลือนายกรัฐมนตรีมาจากการยึดอำนาจ มาจากการทำรัฐประหาร การพัฒนาประชาธิปไตยลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่มีใครคิดว่าจะสำเร็จ เพราะมันเป็นการต่อสู้ เป็นการเดินทาง ไม่ทำก็ไม่มีใครทำ ไม่ทำก็ไม่สำเร็จ ทำอาจจะมีโอกาสสำเร็จ ยุคนี้มีโอกาสที่จะสำเร็จมากที่สุด โอกาสที่จะเป็นไปได้เยอะที่สุด นี่ คือ โอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุด ตั้งแต่ 2475 ที่จะทำให้ประชาธิปไตยยั่งยืนจริง ๆ มีโอกาสไหนไหมที่กองทัพสั่นคลอนถึงขนาดนี้
+ มีบางฝ่ายมีแนวคิดเหตุการณ์ปี2475 คณะราษฎร์ชิงสุกก่อนหาม เร็วเกินไปสำหรับสังคมไทย
“ธนาธร” : ผลเลือกตั้งครั้งนี้จะบอก ว่า เราพร้อมหรือยัง ถ้าไม่มีการโกง แลนด์สไลด์แน่ ๆ ขอพูดอีกครั้ง การเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยไม่มีสังคมใดง่าย ไม่มีสังคมใดเปลี่ยนผ่านเป็นประชาธิปไตยได้โดยง่าย แต่ละสังคมมีรูปแบบต่างกัน ดังนั้น มันเป็นภารกิจที่ต้องทำให้จบในคนรุ่นเรา คนรุ่นต่อไปจะได้ไม่ต้องเกิดมาในสังคมแบบนี้
“ดังนั้น อนาคตใหม่ไม่ใช่นโยบาย อนาคตใหม่ คือ ความฝัน คือ Political Project เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมให้เสมอภาค เท่าเทียม เป็นธรรม ส่งให้คนรุ่นต่อไป”
+ มีท่าทีต่อนายทักษิณ ชินวัตร อย่างไร
“ธนาธร” : ง่ายมาก ท่าทีกับนายทักษิณ คือเราไม่มีท่าทีอะไร เราก็มาตั้งพรรคของเราเอง เพื่อทำความฝันให้เป็นจริง เพราะเรามองเห็นว่า พรรคที่มีอยู่ในสังคม ไม่มีพรรคที่เป็นตัวแทนความฝันของเราได้ เพราะฉะนั้นความฝันของเรามีวิธีเดียว คือ ทำเอง ดังนั้นเมื่อตั้งพรรคเอง ก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับนายทักษิณ
“ผมทิ้งมาทั้งชีวิต ไม่ได้ต่อสู้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อนายทักษิณแน่ๆ แต่สิ่งที่ผมคิดว่ามันคุ้มกับสิ่งที่ทิ้งมาทั้งชีวิต คือ ทำความฝันให้เป็นจริง”
+ คนภายนอกมองธนาธรเป็นนักธุรกิจหมื่นล้านที่มาทำงานการเมืองเหมือนนายทักษิณ อะไรที่คิดว่าไม่เหมือนกับคุณทักษิณ
“ธนาธร” : “ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้เหมือน (คุณทักษิณ) หรือเปล่าล่ะ ในประเทศไทยมีผมคนเดียวที่ทำแบบนี้ (บายทรัส) ใครอยากทำตามผมยินดี ผมบังคับให้ใครทำตามไม่ได้ แต่ผมต้องการทำให้ประชาชนเห็นว่า ความจริงใจในการเข้ามาทำงานการเมืองของเราเป็นอย่างไร ทำให้เห็นว่า วาระในการทำงานการเมืองของเรา ไม่ใช่ทำเพื่อพวกพ้อง หรือ ทำให้ตัวเองรวยขึ้น”
+ ทำไมต้องเลือกพรรคอนาคตใหม่ และธนาธรเป็นนายก ฯ
“ธนาธร” : มีใครในรอบ 1 ปีมานี้ ตั้งใจแก้ไขปัญหาสังคมในระดับโครงสร้างมากกว่าพรรคอนาคตใหม่ เราตั้งใจ ไม่ใช่ผลักดันวาระเชิงประเด็น เพราะเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ได้ มันพันธนาการประเทศไทยอยู่ คือ “กลุ่มทุนผูกขาด” ซึ่งเป็นพันธมิตรกับพรรคที่เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตย ภายใต้ราชการรวมศูนย์ เราต้องการเข้าไปจัดการตรงนั้น พร้อมกับการแก้ปัญหาเชิงประเด็น พรรคการเมือกทุกพรรคไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้อย่างจริงจัง
+ มองรัฐบาลหลังเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร
“ธนาธร” : คงจะลำบาก ทำงานลำบาก คนที่หวังว่ามีรัฐบาลแล้วจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อน มันทำไม่ได้หรอก เพราะปัญหา คือ โครงสร้างทางการเมืองไม่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ปัญหาจริงๆหลังการเลือกตั้ง คือ ถ้าฝ่ายสืบทอดอำนาจ คสช.ชนะ ผมคิดว่า “มืดยาว” กลับไปเหมือนปี 21 เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความคล้ายคลึงกับรัฐธรรมนูญปี 21 อาจจะได้นายก ฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่อยู่ยาว หรือไม่ก็มาจากการเลือกตั้ง โดยมี “เสื้อคลุมประชาธิปไตย” แต่เนื้อใน “เผด็จการ” แล้วอยู่ยาว อาจจะ 8 ปี 20 ปี
“แน่นอนเมื่อฝ่ายประชาธิปไตยชนะ เขาต้องหาเครื่องมือมาทำลายกัน อาจจะทำลายด้วยคดีความส่วนบุคคล อาจจะทำลายกันระดับพรรคเลย หรือจะเอารถถังเข้ามาอีกรอบก็เป็นไปได้หมด ดังนั้นผมมองอนาคตหลังการเลือกตั้งค่อนข้างมืดมน แต่ถ้าเราสร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็งได้ รณรงค์อย่างหนักแน่นได้ โอกาสเมื่อมีเลือกตั้งแล้ว ก็มีโอกาสเสมอที่จะเปลี่ยนแปลง”
+ ถ้าหลังเลือกตั้งพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
“ธนาธร” : สังคมก็คงมืดมิด พูดตรง ๆ จะทำอะไรได้ นอกจากรณรงค์ต่อไป ทำงานหนัก
สิทธิชน กลิ่นหอมอ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี