‘ธนาธร’โวลั่นเอาผิดไม่ได้
ปมถือหุ้นสื่อ
พร้อมให้เช็คมือถือ/ใบโอน
แก้ลำเอาคืน‘พปชร.’
ยื่นกกต.ร้องสอบเพียบ
‘ประยุทธ์’โพสต์ IG
เดินหน้าประเทศไทย
“นายกฯ ประยุทธ์” โพสต์ IG ระบุ “ประเทศไทยต้องไปต่ออย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในขณะที่ “ธนาธร” แจงปมหุ้น มั่นใจไม่มีประเด็นไหนเอาผิดได้ ประกาศพร้อมให้เช็คมือถือ-ใบโอน ขณะเดียวกับส่งลูกทีม เขย่า พปชร.ปมโอนหุ้นด้วย ด้านเพื่อไทย ผสมโรงแขวะโต๊ะจีน บอกรับเงินแล้วคืนก็น่าจะผิดแล้ว
เมื่อวันที่27 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ซึ่งอยู่ระหว่างการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง(Belt and Road Initiative-BRI/ One Belt, One Road) ครั้งที่2 ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 26- 27 เม.ย.2562 โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมหรือไอจีว่า”ประเทศไทยต้องไปต่อ... มั่นคงมั่งคั่งยั่งยืน# เดินหน้าประเทศไทย” ซึ่งปรากฏว่ามีประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันจำนวนมาก มีทั้งเห็นด้วยกับนายกฯและไม่เห็นด้วย
ธนาธรโวไม่มีคดีไหนเอาผิดได้
วันเดียวกันนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่(อนค.) ให้สัมภาษณ์สื่อพลเมืองถึงกรณีที่กกต.แจ้งข้อกล่าวหาเรื่องการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัดว่าไม่แปลกใจที่ ตนเอง แกนนำคนอื่นๆและพรรคมีเรื่องถูกโจมตีมากมาย เพราะพรรคมีจุดยืนอย่างมั่นคงในการต่อการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ ทุกคดีที่ถูกกล่าวหา เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ว่าไม่มีคดีไหนที่จะเอาผิดตนและแกนนำพรรคได้ พวกเราทำงานการเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจและอยากเห็นการเมืองเดินไปข้างหน้า ดังนั้นเราไม่มีควรกังวลใดๆทุกวันนี้ยังคงทำกิจกรรมทางการเมือง พบปะพี่น้องสมาชิกและดูปัญหาในชุมชนอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ตนและกรรมการบริหารพรรคอื่นๆไม่มีใครคิดแพลนบีไว้ ยังคงเดินหน้าต่อไป
พร้อมยืนยันว่าวันที่ 30 เม.ย.นี้ตนจะเดินทางไปชี้แจงกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)กรณีการโอนหุ้นพร้อมหลักฐานสมุดจดทะเบียนบริษัทที่รายละเอียดทุกอย่างของผู้ถือหุ้นทุกคนอยู่ในนั้นด้วย
ไฟเขียวดีแทคเผยสัญญาณมือถือ
นายธนาธรกล่าวว่า ที่มีการบอกจะสืบค้นเรื่องการเดินทางจาก จ.บุรีรัมย์ กลับมากรุงเทพฯเพื่อโอนหุ้น ในวันที่ 8 ม.ค.โดยสัญญาณโทรศัพท์มือถือนั้น ยินดีอย่างยิ่งและอนุญาตให้ทางดีแทคเปิดเผยข้อมูลสัญญาณได้เลย เรื่องจะได้จบเพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งจ้องทำลายพวกเรา โดยที่พวกเขาไม่มีข้อมูล หรือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนเลย ยืนยันว่าการโอนหุ้นเมื่อวันที่ 8ม.ค.ในทางกฎหมาย มีผลผูกพันต่อผู้โอน ผู้รับและบริษัท สมบูรณ์แล้ว ขั้นตอนที่ต้องไปแจ้งยังกระทรวงพาณิชย์นั้น อยู่นอกเหนือความควบคุมของตน ในวันสมัครส.ส.ช่วงเดือน ก.พ.ผู้สมัครส.ส.ทุกคน ก็คงจัดการกันตามกฎหมายแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าต้องชี้แจงว่าเคยถือหุ้นมาก่อน แต่โอนไปแล้ว ถ้าต้องการแบบนี้ กกต.ก็ต้องเขียนใหม่ให้ชัด
“สื่อบางสำนักพยายามทำข่าวเจาะเรื่องนี้ ด้วยการตั้งข้อสังเกตยิบย่อยแต่ปัญหาคือมันมีเส้นแบ่งระหว่างข่าวเชิงลึกคุณภาพกับข่าวที่ไร้ข้อเท็จจริงเช่นพาดหัว มีไฟลท์ทำไมไม่กลับ แต่ใช้รถรับส่ง ไพร่หมื่นล้าน วันนั้นมีพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ด้วย ไฟลท์เต็มใกล้ที่สุดคือที่สนามบินอุบลราชธานี แต่พอลองดูเวลาแล้วเห็นว่าการนั่งรถจากบุรีรัมย์ ไปอุบลเพื่อขึ้นเครื่องแล้ว ต้องนั่งรถกลับจากดอนเมืองไปบางนาตราด ใช้เวลาพอ กับการนั่งรถกลับจากบุรีรัมย์ ไปที่บ้านผมเลยจึงยอมทิ้งตั๋วที่อุบลฯแล้วมาตั้งประเด็นกันว่าวันที่ 8 ม.ค.ผมอยู่ไหน ทำไม ไม่ไปตำรวจที่บุรีรัมย์ที่มาคอยอำนวยความสะดวกการหาเสียง คนขับรถหรือรปภ.ที่หมู่บ้านผมบ้าง”นายธนาธร ย้ำ
ขู่พ่วงยุบพรรคทั้ง พปชร.-ปชป.
ส่วนกระแสข่าวเชื่อมโยงกับผู้สมัคร ส.ส.สกลนคร เขต 2ที่ศาลชี้ว่าขาดคุณสมบัติ อาจไปถึงขั้นยุบพรรค เพราะหัวหน้าพรรคฯไม่ตรวจสอบนั้น นายธนาธรกล่าวว่า”เขาไม่ได้ขาย แต่ตนขายซึ่งการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวผ่านฐานข้อมูลเปิดในออนไลน์ ไม่สามารถหารายละเอียดในระดับของบริคนสนธิหรือว่าบริษัททำกิจการประเภทอะไรได้ อนาคตใหม่ มีผู้สมัครเกือบ 500คน การตรวจสอบจะทำอย่างไร
“ขณะเดียวกันผมก็มีข้อมูลผู้สมัครส.ส.พลังประชารัฐ(พปชร.)กับประชาธิปัตย์ ที่เข้าข่ายกรณีแบบนี้อยู่เหมือนกัน ถ้าแบบนี้ยุบพรรค ก็ต้องยุบทุกพรรค เราก็จะฟ้องผู้สมัคร พปชร.ในเคสเดียวกันด้วยเหมือนกัน ต่างกันที่ผู้สมัคร พปชร.ยังถือหุ้นอยู่ แต่ผมขายแล้ว”หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ย้ำ
ชูปชต.เมินถูกจ้องสกัดเข้าสภา
ส่วนกระแสโจมตีแกนนำพรรคอนาคตใหม่รวมถึงนายปิยบุตร แสงกกนกกุล เลขาธิการพรรค จนอาจทำให้ไม่ได้เข้าสภานั้น นายธนาธรกล่าวว่า”ผมและแกนนำพรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่าไม่เคยมีแนวคิดล้มสถาบันพระมหากษัตริย์เลย เพียงแต่เข้ามาทำงานการเมืองเพื่อเห็นประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย มีนิติรัฐ เท่าเทียมกัน โดยการจะไปถึงจุดนั้นต้องปฏิรูปกองทัพปฏิรูปข้าราชการที่ใหญ่เทอะทะซึ่งฉุดรั้งสังคมไทยไม่ให้ไปไกลมากกว่านี้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้คนกลุ่มหนึ่งเสียประโยชน์ 8 นโยบายในเรื่องนี้ ดีไม่ดีอาจต้องใช้เวลาเป็น10 ปี
ลั่นหยุดความฝันคนนับล้านไม่ใช่สิ่งดี
“ถ้าเข้าสภาไปไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ผมจะทำให้เห็นว่านักการเมืองที่ดีเป็นไปได้เพื่อจะได้ทำให้คนกลับมายึดมั่นในระบอบรัฐสภาอีกครั้ง การเลือกต่อสู้ทางการเมืองผ่านระบบรัฐสภาคือการประนีประนอมในตัวเองอยู่แล้วเพราะอนาคตใหม่ไม่มีทางได้ ส.ส.500คน การเปลี่ยนผ่านในกลไกรัฐสภาจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีทาง upside-down ได้ภายในวันเดียว กลับกันหากปิดทางในรัฐสภา ให้คนที่มีความฝันเดียวกันมหาศาลนับล้านคน ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะต้องหันไปใช้ช่องทางการเปลี่ยนแปลงแบบอื่น”
ขอสู้สันติในใช้สภา ไม่รับปากลงถนน
ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองจะบานปลายลงท้องถนนอีกหรือไม่นั้น นายธนาธร กล่าวว่า ตอบแทนประชาชนไม่ได้ แต่เจตนารมณ์ส่วนตัวของตน ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ เพราะมีคนบาดเจ็บล้มตายบนท้องถนน มีฮีโร่กันเพียงพอแล้ว ตนจะไม่ทำให้ไปถึงจุดที่มีคนตายเพียงออกมากเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรม การชุมนุมเรียกร้องบนท้องถนนอย่างสงบ ถือเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของประชาชนที่ได้รับการคุ้มครองไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งรัฐบาลไทยรับรองไว้
เรื่องนี้ต้องได้รับการปกป้อง ไม่ถือว่า เป็นการสร้างความไม่สงบ ก่อความวุ่นวาย เพราะนี่คือวาทกรรมจากคนที่ได้อำนาจมาอย่างไม่ชอบธรรมและต้องการป้องกันอำนาจของตนเองไว้ กลัวประชาชนลุกขึ้นมาเพื่อทวงอำนาจ จึงสร้างวาทกรรมขึ้นมาหลอกลวงสังคม ทำให้ประชาชนหลงลืมสิทธิและเสรีภาพของตนเองที่ได้รับการคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญ
จี้กกต.รับผิดชอบสูตรคิดปาร์ตี้ลิสต์
สำหรับสูตรคิด ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับตีความ แต่กกต.ยังไม่ได้ข้อยุตินั้น นายธนาธร กล่าวว่าการตัดสินใจของกกต.จะเป็นการกำหนดอนาคตของประเทศไทย หลังเลือกตั้งพรรคฝ่ายต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช.7 พรรค รวมแล้วมี254เสียง เกินครึ่งหนึ่งของสภาล่าง สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หาก กกต.ตัดสินใจใช้สูตรคิดส.ส.บัญชีรายชื่อที่ทำให้พรรคฝ่ายต่อต้านการสืบทอดอำนาจคสช.เหลือเพียง 240 กว่าเสียงนั้น กกต.คือ ผู้เปลี่ยนประเทศไทยทันที เรื่องนี้น่าแปลกใจมาก เลือกตั้งไปแล้วหนึ่งเดือน แต่ผลเลือกตั้ง ยังคงไม่มีความชัดเจน ถ้าประชาชนไม่เชื่อมั่นในผลการเลือกตั้ง
เราก็จะเดินหน้าประชาธิปไตยอีกครั้งไม่ได้ วาทกรรม ประชาธิปไตย 4 วินาที ในคูหาการเลือกตั้ง ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมนั้น ไม่จริงพรรคที่จะมี ส.ส.1คน ต้องมีคะแนน 7.1 หมื่นเสียง หากให้พรรคการเมืองที่ได้ 3-4 หมื่นเสียงมี ส.ส. 1 คน ทั้งที่เสียงเท่านี้ยังไม่อาจชนะส.ส.เขตบางเขตได้ ก็ต้องถามว่า ความเป็นธรรมนั้นอยู่ตรงไหน
“ยืนยันว่าต้องใช้สูตรคิด ส.ส.ที่จะทำให้อนาคตใหม่ มีส.ส.87คนเพราะจะไม่มีพรรคไหนมีส.ส.เกินส.ส.พึงมีและทุกพรรคที่มีส.ส.จะมีอย่างน้อย7.1หมื่นเสียงทุกพรรค นายปิยบุตรจะแถลงข่าวต่อกรณีดังกล่าวอย่างชัดเจนอีกครั้งในสัปดาห์และจะยื่นสูตรคิด ส.ส.บัญชีรายชื่อให้ กกต.นำไปพิจารณา”นายธนาธรย้ำ
อนค.ร้องกกต.สอบหุ้นสื่อพปชร.
ด้านนายอภิชิต ถาบุตร ผู้สมัคร ส.ส.เขต5จ.สกลนคร พรรคอนาคตใหม่กล่าวว่าตนได้เดินทางไปยื่นคำร้องต่อ ผู้อำนวยการ(ผอ.)การเลือกตั้ง จ.สกลนครให้ทำการตรวจสอบคุณสมบัติของนายสมศักดิ์ สุขประเสริฐ อดีตผู้สมัครส.ส.เขต5จ.สกลนคร พรรคพลังประชารัฐว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.ป.การเลือกตั้งมาตรา42จากกรณีเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนหรือไม่
พร้อมยื่นเอกสารเป็นหลักฐานคือสำเนาหนังสือรับรองและรายละเอียดวัตถุประสงค์ และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ณัฐฐินีย์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นหลักฐานว่า นายสมศักดิ์ เป็นผู้มีหุ้นส่วนใน บริษัท ณัฐฐินีย์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ใน ข้อ 23 “ประกอบกิจการค้า ทำสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยีการก่อสร้าง และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง”,ข้อ 24 “ประกอบกิจการเพื่อบริการรับทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภท การตลาดและงานบันเทิงทุกประเภท”, และข้อ 25 “ประกอบกิจการ รับเป็นที่ปรึกษาการจัดเก็บรวบรวม จัดทำ จัดพิมพ์และเผยแพร่สถิติข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภท”
ย้อนทำเป็นมาตรฐานเดียวกัน
นายอภิชิต กล่าวว่า การยื่นคำร้องในครั้งนี้ ด้วยตนต้องการเห็นมาตรฐานเดียวกันจาก กกต. และหน่วยงานองค์กรอิสระต่างๆ ในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครและเอาผิดพรรคการเมือง อย่างที่นายภูวเบศร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จ.สกลนครถูกตัดสินให้ขาดคุณสมบัติ โดยอาศัยหลักฐานจากเพียงสิ่งที่ระบุอยู่ในวัตถุประสงค์ของบริษัทเพียงอย่างเดียว และมีกระแสข่าวว่าอาจนำไปสู่การดำเนินคดีอาญาต่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา84 และมาตรา 86เพราะไปเซ็นรับรองให้นายภูวเบศร์
โยงให้เอาผิด’อุตตม’เซ็นรับรอง
“ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐท่านนี้เราตรวจพบว่าถือหุ้นอยู่3หจก. แล้วหนึ่งในนั้นก็ระบุวัตถุประสงค์ว่าทำสื่ออยู่ แบบเดียวกับผู้สมัครเขต 2 จ.สกลนคร พรรคอนาคตใหม่ของเรา แล้วตอนนี้มีกระแสข่าวออกมาว่าจะมีการเล่นงาน นายธนาธร จากกรณีไปรับรองให้ผู้สมัครซึ่งเราเห็นว่าเป็นกรณีแบบเดียวกันกับผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐดังนั้น ถ้านายธนาธรต้องถูกดำเนินการจากเรื่องนี้ทั้งกกต.และหน่วยงานต่างๆ ก็ต้องทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน หากนายสมศักดิ์จะถูกตัดสินว่าขาดคุณสมบัติแบบเดียวกันกับกรณีของนายภูวเบศร์ ก็จะต้องมีการดำเนินการกับนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในแบบเดียวกับที่กำลังจะเกิดขึ้นกับนายธนาธรด้วย เพราะนายอุตตมก็ได้เซ็นรับรองผู้สมัครพลังประชารัฐรายนี้ด้วยเช่นกัน”นายอภิชิตกล่าว
เด็กพท.ชี้โต๊ะจีนพปชร.ผิดสำเร็จแล้ว
ด้าน นายสุชาติ ลายน้ำเงิน อดีตส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีโต๊ะจีน ของพรรคพลังประชารัฐที่มีกระแสข่าวว่า ประเด็นเรื่องเงินยังไม่เข้าบัญชีพรรค ทำให้ กกต.อาจไม่สามารถเอาผิดได้ว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง คงเป็นเรื่องแปลกที่สุดในยุคปฏิรูป เพราะถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว มีการจัดโต๊ะจีนระดมทุน มีการยื่นความจำนงและออกเช็คเพื่อซื้อโต๊ะจีนที่จัดโดยพรรคพลังประชารัฐ สื่อมวลชนจำนวนมากนำเสนออย่างชัดเจน
“เปรียบเหมือนตำรวจจับกุมคนร้ายขโมยของเพราะกระทำความผิดที่สำเร็จแล้ว แต่พอถูกจับก็คืนของที่ขโมยมา ซึ่งก็ยังมีความผิด ต้องโทษอยู่ดี ทั้งนี้ กกต.ควรจะพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ไม่ควรหาช่องทางเพื่อช่วยเหลือกัน หากเป็นเช่นนั้นจริงถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง”นายสุชาติ ย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี