25 มิ.ย.62 เวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต และแขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต และแขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
กค. เสนอว่า
1. ด้วยกองทัพบกได้ส่งคืนที่ราชพัสดุ อันเป็นที่ตั้งของมณฑลทหารบกที่ 11 และกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ รวม 2 แปลง เนื้อที่ประมาณ 484 – 3 – 21 ไร่ เนื่องจากได้เลิกใช้ประโยชน์และไม่ประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุดังกล่าวอีกต่อไป ดังนี้
1.1 ที่ราชพัสดุบริเวณมณฑลทหารบกที่ 11 หมายเลขทะเบียนที่ กท. 80 โฉนดที่ดินเลขที่ 19823 กท.127 (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ 19822 กท.180 (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ 19825 และ กท.1029 โฉนดที่ดินเลขที่ 19828 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ประมาณ 108 ไร่ 2 งาน 91 ตารางวา
1.2 ที่ราชพัสดุบริเวณกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ หมายเลขทะเบียนที่ กท.144 (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ 3810 และ 3814 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ประมาณ 376 ไร่ 30 ตารางวา
2. กค. โดยกรมธนารักษ์พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อที่ราชพัสดุทั้ง 2 แปลงดังกล่าวกองทัพบกเลิกใช้ประโยชน์และไม่ประสงค์จะใช้ประโยชน์อีกต่อไป สมควรที่จะนำไปดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุต่อไป แต่โดยที่ที่ราชพัสดุดังกล่าวมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ซึ่งมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 บัญญัติให้ที่ราชพัสดุเฉพาะที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เมื่อเลิกใช้ประโยชน์แล้ว หรือทางราชการไม่ประสงค์จะหวงห้ามอีกต่อไป ให้ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ดังนั้น จึงสมควรตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อถอนสภาพที่ราชพัสดุที่กองทัพบกได้ส่งคืนดังกล่าวต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุบริเวณมณฑลทหารบกที่ 11 แปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.80, กท.127 (บางส่วน), กท.180 (บางส่วน) และกท.1029 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 108 ไร่ 2 งาน 91 ตารางวา และบริเวณกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.144 (บางส่วน) แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 376 ไร่ 30 ตารางวา
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงเพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 รวม 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. …. 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงาน พ.ศ. …. 3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. …. รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. …. เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน การขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน การต่ออายุใบอนุญาตทำงาน การแจ้งและการจดแจ้งการขยายระยะเวลา และการแจ้งและการออกหนังสือรับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงาน พ.ศ. …. เป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงานต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้ (1) เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (2) ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ (3) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวภายในระยะเวลา 1 ปี ก่อนวันขอรับใบอนุญาตทำงาน (4) ไม่เป็นผู้เจ็บป่วยด้วยโรค ดังนี้ โรคเรื้อนระยะติดต่อ วัณโรคระยะติดต่อ โรคเท้าช้างในระยะปรากฏอาการอันเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคติดยาเสพติดให้โทษ โรคพิษสุราเรื้อรัง หรือโรคซิฟิลิสในระยะที่ 3
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. …. เป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตนำคนต่างด้าวมาทำงาน ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าธรรมเนียมใบแทนใบอนุญาตนำคนต่างด้าวมาทำงาน ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและการต่ออายุใบอนุญาตทำงานหรือการขยายระยะเวลาการทำงาน และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ซึ่งไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 รวมทั้งกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ ณ ที่แห่งใดแทนการเนรเทศ คนต่างด้าวที่ถูกถอนสัญชาติ คนต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักรแต่ไม่ได้รับสัญชาติไทย และคนต่างด้าวซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2561 ดังนี้
การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน |
การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง |
1. สำนักงานเลขาธิการ 2. กองวิเคราะห์โครงการและงบประมาณ 3. ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ 4. กองบริหารจัดการลุ่มน้ำ 5. สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 6. กลุ่มตรวจสอบภายใน 7. กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร 8. ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต 9. กองนโยบายและยุทธศาสตร์ 10. กลุ่มกฎหมาย |
สำนักงานเลขาธิการ (คงเดิม) กองวิเคราะห์โครงการและงบประมาณ (คงเดิม) ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ (คงเดิม) กองบริหารจัดการลุ่มน้ำ (คงเดิม) สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (คงเดิม) กลุ่มตรวจสอบภายใน (คงเดิม) กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร (คงเดิม) ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (คงเดิม) กองนโยบายและแผนแม่บท (เปลี่ยนชื่อ) กองกฎหมาย (เปลี่ยนชื่อ) กองการต่างประเทศ (ตั้งใหม่) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภาค 1 – 4 (ตั้งใหม่) |
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงเพื่อปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงเพื่อปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงมีหลักการดังต่อไปนี้
1. ร่างพระราชกฤษฎีกา
1.1 กำหนดให้กองทุนที่เป็นคณะบุคคลซึ่งเข้าร่วมในกองทุนซึ่งจัดตั้งและดำเนินการโดยบริษัทจัดการกิจการลงทุนตามโครงการในการประกอบกิจการจัดการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วย การควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน (ไม่ใช่กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) และผู้ลงทุนในกองทุนดังกล่าวได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เช่นเดียวกันกับที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในประมวลรัษฎากรก่อนการยกเลิกหรือการแก้ไขบทบัญญัตินั้นโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) พ.ศ. 2562
1.2 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
1.3 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและประกอบกิจการในประเทศไทย สำหรับรายได้จากการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวต้องไม่นำต้นทุนและรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับรายได้นั้นมาหักเป็นรายจ่าย
1.4 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมสำหรับผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาซื้อตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออกและมีการจำหน่ายครั้งแรกในราคาต่ำกว่าราคาไถ่ถอน โดยกองทุนรวมดังกล่าวมิใช่ผู้ทรงคนแรก
1.5 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่เสนอขายเฉพาะแก่สำนักงานประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือนิติบุคคลอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน ตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร
1.6 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมสำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะส่วนที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 20 สิงหาคม 2562
1.7 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากรที่เกิดขึ้นจากตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศเป็นผู้ออก เฉพาะส่วนที่เกิดขึ้นก่อนการเป็นผู้ทรงตราสารแสดงสิทธิในหนี้นั้น
1.8 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากกองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย แต่ไม่รวมถึงเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กอง 1) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน (กอง 2) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิเรียกร้อง (กอง 4) ให้แก่
(1) บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย (บริษัททั่วไป) สำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จำนวนกึ่งหนึ่ง
(2) บริษัทจดทะเบียน สำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้ทั้งจำนวน
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่บริษัทหรือบริษัทจดทะเบียนตาม (1) หรือ (2) ถือหน่วยลงทุนที่ก่อให้เกิดเงินส่วนแบ่งของกำไรนั้นไม่ถึง 3 เดือนนับแต่วันที่ได้หน่วยลงทุนนั้นมาถึงวันมีเงินได้ดังกล่าว หรือได้โอนหน่วยลงทุนนั้นไปก่อน 3 เดือนนับแต่วันที่มีเงินได้
1.9 กำหนดให้กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่ได้รับเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากรและถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นรายได้ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืน หรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
2. ร่างกฎกระทรวง
กำหนดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายร้อยละ 15.0 สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
ทั้งนี้ กรณีเป็นผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่ายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ ให้ถือว่าผู้ออกตั๋วเงินหรือผู้ออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ให้แก่กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน และให้เรียกเก็บภาษีเงินได้จากกองทุนรวมดังกล่าวในอัตราร้อยละ 15.0 และให้ถือว่าภาษีที่เรียกเก็บนั้นเป็นภาษีที่หักไว้
ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงข้างต้นให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
เศรษฐกิจ - สังคม
6. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2562 จำนวน 653.71 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้ค่าวัสดุอาหารค้างจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ตามที่จ่ายจริงตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
7. เรื่อง การขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของการเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคงจากเดิม 80,000 บาท/ครัวเรือน เป็น 89,800 บาท/ครัวเรือน โดยให้เริ่มมีผลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
โครงการบ้านมั่นคง เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งต่อมาได้จัดเป็นโครงการภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองและชนบท โดยมีระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และสิ่งแวดล้อมที่ดี มีรูปแบบสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความสามารถในการใช้จ่ายของคนในชุมชน และเพื่อพัฒนาศักยภาพของชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถวางแผนจัดการที่อยู่อาศัยร่วมกันในระดับพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และสามารถเชื่อมโยงกับงานพัฒนาด้านต่างๆ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างบูรณาการ ซึ่งโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการ 2 ส่วน ได้แก่ 1) งบประมาณพัฒนาสาธารณูปโภคและที่อยู่อาศัย ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาปรับปรุงชุมชน (เช่น การถมดินเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย สร้างถนนในชุมชน ท่อระบายน้ำ เป็นต้น) การพัฒนาปรับปรุงที่อยู่อาศัย การบริหารจัดการในชุมชนและสนับสนุนการพัฒนาและดำเนินโครงการ และ 2) สินเชื่อในการพัฒนาที่อยู่อาศัยของชุมชน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แจ้งว่า การดำเนินโครงการบ้านมั่นคงที่ผ่านมาในปี 2553 – 2560 พบว่า งบประมาณในส่วนพัฒนาสาธารณูปโภคและที่อยู่อาศัยที่เกิดขึ้นจริงไม่เพียงพอ เนื่องจากราคาการก่อสร้างที่อยู่อาศัยมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับราคาวัสดุก่อสร้างที่ผ่านมาในปี 2553 - 2561 มีราคาสูงขึ้น ดังนั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงขอปรับแนวทางการอุดหนุนและสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับงบประมาณพัฒนาสาธารณูปโภคและที่อยู่อาศัย โดยขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคงจากเดิม 80,000 บาท/ครัวเรือน ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติไว้ (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 16 มิถุนายน 2552) เป็น 89,800 บาท/ครัวเรือน (เพิ่มในส่วนงบพัฒนาปรับปรุงชุมชน) โดยให้เริ่มมีผลในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ซึ่งเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ซึ่งการขอเพิ่มกรอบวงเงินดังกล่าวจะทำให้รัฐต้องใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้น (ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการ 20 ปี) จาก 55,200 ล้านบาท เป็น 61,793.342 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6,593.342 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.94) รายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ระยะเวลา (20 ปี) |
จำนวนครัวเรือน เป้าหมาย |
งบประมาณ |
งบประมาณ ที่เพิ่มขึ้น (บาท) |
หมายเหตุ |
|
เดิม (80,000 บาท) ต่อครัวเรือน |
ขอเพิ่มในครั้งนี้ (89,800 บาท) ต่อครัวเรือน |
||||
ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2560 - 2564) |
67,210 |
5,376.80 |
5,866.80 |
490 |
|
พ.ศ. 2560 |
5,000 |
400 |
- |
- |
|
พ.ศ. 2561 |
6,710 |
536.80 |
- |
- |
|
พ.ศ. 2562 |
5,500 |
440 |
- |
- |
|
พ.ศ. 2563 |
20,000 |
1,600 |
1,796 |
196 |
|
พ.ศ. 2564 |
30,000 |
2,400 |
2,694 |
294 |
|
ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2565 - 2569) |
150,000 |
12,000 |
13,470 |
1,470 |
ปีละ 30,000 ครัวเรือน |
ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2570 - 2574) |
200,000 |
16,000 |
17,960 |
1,960 |
ปีละ 40,000 ครัวเรือน |
ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2575 - 2579) |
272,790 |
21,823.20 |
24,496.542 |
2,673.342 |
ปีละ 50,000 ครัวเรือน (เฉพาะปี 2579 เป้าหมาย 32,790 ครัวเรือน) |
รวม (พ.ศ. 2560– 2579) |
690,000 |
55,200 |
61,793.342 |
6,593.342 |
|
8. เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับรายละเอียดแนวทางตามแผนฯ ให้กระทรวงคมนาคมและ ขสมก. ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้รับความเห็นของหน่วยงานไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงคมนาคม [องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)] เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก.เนื่องจาก ขสมก.ประสบปัญหาการขาดทุนอย่างต่อเนื่องและมีหนี้สินคงค้างจำนวนมาก โดยแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ขสมก.ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงระบบการทำงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการหารายได้และการบริหารจัดการหนี้สิน ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารองค์กรที่ยั่งยืนและลดภาระกับภาครัฐ ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 รับทราบและเห็นควรให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปได้ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก.
1. สภาพปัญหา ขสมก.
1.1 สภาพรถโดยสารประจำทาง สภาพรถ รถโดยสารเก่าและทรุดโทรม/จำนวนไม่เพียงพอต่อการให้บริการ
1.2 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
1.3 โครงสร้างองค์กร ขสมก. มีพนักงานทั้งหมด 13,599 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2561) คิดเป็นสัดส่วนต่อรถ 1 คัน ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายของพนักงาน 5.14 คน
1.4 ต้นทุนในการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ค่าเชื้อเพลิง ค่าเหมาซ่อม และดอกเบี้ยจ่ายมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
1.5 สถานะทางการเงิน รายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย เก็บค่าโดยสารต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง
2. แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก.
2.1 วัตถุประสงค์ที่ 1 เพื่อปรับปรุงระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพ โดยใช้รถใหม่และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
กลยุทธ์ที่ 1 จัดหารถโดยสารใหม่/ปรับปรุงสภาพรถเดิม เช่น ซื้อรถ NGV ปรับปรุงรถ NGV เดิม ซื้อรถไฮบริด รถ EV เช่ารถโดยสารใหม่
กลยุทธ์ที่ 2 การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ เช่น ติดตั้งระบบ E – Ticket ชำระค่าโดยสารด้วย QR – Code ติดตั้งระบบ GPS ให้บริการ WIFI บนรถ
กลยุทธ์ที่ 3 การปรับปรุงเส้นทางเดินรถ เช่น เชื่อมต่อเส้นทางกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ให้บริการเส้นทางที่ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญ
2.2 วัตถุประสงค์ที่ 2 เพื่อให้ ขสมก. สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ลดภาระกับภาครัฐ
กลยุทธ์ที่ 1 ลดค่าใช้จ่ายพนักงาน เช่น โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับลง ลดพนักงานเป็น 2.75 คนต่อรถ 1 คัน ในปี 2565
กลยุทธ์ที่ 2 ลดค่าซ่อมบำรุงและค่าเชื้อเพลิง เช่น จัดหารถใหม่ให้ได้ตามแผน เพื่อลดค่าซ่อมบำรุง และจัดหารถที่ใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนน้ำมันดีเซล
กลยุทธ์ที่ 3 เพิ่มรายได้ เช่น พัฒนาพื้นที่อู่บางเขนเป็นศูนย์การค้า โรงแรมระดับบน และพื้นที่อู่มีนบุรีเป็นตลาด
กลยุทธ์ที่ 4 การบริหารหนี้สิน
3. ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
3.1 รถโดยสารมีคุณภาพการให้บริการที่ดีขึ้น สามารถอำนวยความสะดวกและยกระดับความปลอดภัยให้แก่ประชาชน
3.2 การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพ รองรับภารกิจในอนาคต มุ่งสู่ BMTA 4.0
3.3 ขสมก. มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี สามารถเลี้ยงตนเองได้ ลดภาระกับภาครัฐ และสามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้อย่างยั่งยืน
9. เรื่อง การเปิดโครงข่ายเน็ตประชารัฐตามหลักการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ ดศ. เปิดโครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมาย จำนวน 24,700 หมู่บ้าน ตามหลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายเน็ตประชารัฐแบบเปิด (Open Access Network) ตามแนวทางที่คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) เห็นชอบเพื่อให้มีการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐไปให้บริการปลายทาง (Last Mile Access) ไปยังทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นการใช้โครงข่ายเน็ตประชารัฐให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความซ้ำซ้อนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและลดต้นทุนในการคิดอัตราค่าบริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยราคาที่เหมาะสมอีกทั้งยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม
2. ให้หน่วยราชการต่าง ๆ สนับสนุนให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐเพื่อต่อยอดการพัฒนาบริการภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ e-Health e-Learning e-Agriculture e-Commerce และ e-Government เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของภาครัฐได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐต่างๆ สามารถสร้างการรับรู้สู่ชุมชน โดยการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร และรับทราบปัญหา อุปสรรค ความต้องการ ผ่านเครือข่ายอาสาสมัครที่มีอยู่ในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างถูกต้องตรงตามเป้าประสงค์ของนโยบายรัฐบาลได้อย่างทันเหตุการณ์ รวดเร็ว ในรูปแบบประชารัฐ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ดศ. รายงานผลการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กิจกรรมที่ 1 โครงการเน็ตประชารัฐ และโครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1.1 ดศ. ได้ดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐโดยขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสื่อสัญญาณสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber-To-The-x: FTTx) ให้ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมาย จำนวน 24,700 หมู่บ้าน และจัดให้มีจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wi-Fi) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการ อย่างน้อยหมู่บ้านละ 1 จุดให้บริการ ที่ระดับความเร็วไม่ต่ำกว่า 30 Mbps/10 Mbps (Download/Upload) เสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2560 โดยปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเข้าใช้งาน Wi-Fi เน็ตประชารัฐ จำนวน 5.21 ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562) ทั้งนี้ โครงข่ายเน็ตประชารัฐยังได้มีการออกแบบสถาปัตยกรรมที่สามารถเปิดให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเชื่อมต่อเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตปลายทาง (Last Mile Access) ไปยังทุกภาคส่วนในพื้นที่เป้าหมาย (เช่น บ้านเรือนประชาชน สถานประกอบการ) ได้อย่างมีคุณภาพและทั่วถึงได้ในลักษณะโครงข่ายเชื่อมต่อแบบเปิด (Open Access Network) ซึ่งจะเป็นการลดความซ้ำซ้อนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและลดต้นทุนในการคิดอัตราค่าบริการอินเทอร์เน็ตกับประชาชน เพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติตามนโยบายรัฐบาลและสอดคล้องกับแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
1.2 สำหรับประเด็นกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐและโครงการ ASEAN Digital Hub ดศ. ได้มีการประชุมหารือประเด็น เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน ได้มีการหารือในประเด็นเรื่องการนำโครงข่ายเน็ตประชารัฐซึ่งเป็นทรัพย์สินราชการไปให้ผู้ประกอบกิจการภาคเอกชนไปใช้ประโยชน์ในลักษณะธุรกิจ ตามหลักการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีฯ ได้สั่งการให้กรรมการผู้มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยตอบข้อหารือให้ ดศ. ทราบโดยเร็วเพื่อ ดศ. จะได้พิจารณาหาแนวทางการดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ ดศ. หารือคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตอบข้อหารือ ดศ. ดังนี้
1.2.1 คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้มีหนังสือตอบข้อหารือ ดศ. แล้วสรุปได้ว่า ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในโครงการเน็ตประชารัฐเป็นทรัพย์สินของ ดศ. การที่ ดศ. จะนำโครงข่ายเน็ตประชารัฐซึ่งเป็นทรัพย์สินราชการไปให้ผู้ประกอบกิจการภาคเอกชนเข้าไปใช้ประโยชน์ต่อยอดให้บริการ ถือเป็นการใช้ทรัพย์สินตามวัตถุประสงค์ของการรับจัดสรรเงินงบประมาณ ดศ. สามารถดำเนินการได้ โดยการใช้ทรัพย์สินเป็นเรื่องของการขออนุญาตให้สิทธิ ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นที่คณะกรรมการวินิจฉัยจะต้องพิจารณาแต่ประการใด แต่ ดศ. ควรกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการควบคุมเพื่อรองรับในเรื่องของสิทธิการเข้าใช้งานโครงข่ายดังกล่าวด้วย
1.2.2 สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ขอให้ ดศ. นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการและรายละเอียดโครงการฯ ก่อน และ อส. จึงจะพิจารณา (ร่าง) สัญญาตัวแทนในการดำเนินโครงข่ายเน็ตประชารัฐแบบเปิด และ (ร่าง) สัญญาการใช้โครงข่ายโทรคมนาคมภายใต้โครงการเน็ตประชารัฐให้ต่อไป
1.3 สำหรับโครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ดศ. อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการดังกล่าวและมอบหมายให้ บมจ.ทีโอที ขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐโดยการวางโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ไปยังโรงเรียน โรงพยาบาลและสุขศาลาพระราชทานที่ยังไม่มีโครงข่าย Fiber Optic เข้าถึง เพื่อให้มีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่สนับสนุนการยกระดับความเป็นอยู่ของประชากรทางด้านการศึกษาและสาธารณสุข
2. ในส่วนข้อเสนอของ ดศ. ในครั้งนี้ จะเป็นการดำเนินการเปิดโครงข่ายเน็ตประชารัฐตามหลักเกณฑ์โครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ซึ่งเป็นการเปิดให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเข้าเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐ (ซึ่งเป็นทรัพย์สินของราชการ) เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการลงทุนวางโครงข่ายซึ่งเป็นการลดต้นทุนการคิดอัตราค่าบริการไปยังบ้านเรือนประชาชน ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะอย่างในพื้นที่ห่างไกล (เนื่องจากเอกชนไม่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์) มีโอกาสเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดย ดศ.ได้เสนอหลักเกณฑ์โครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) และข้อเสนอการใช้โครงข่ายโทรคมนาคม (Reference Access Offer: RAO) ประกอบกับคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2561 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายเน็ตประชารัฐแบบเปิดด้วยแล้ว ดังนี้
ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม* |
หลักเกณฑ์ |
แบบที่ 1 ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง |
สามารถเชื่อมต่อจากโครงข่ายเน็ตประชารัฐไปยังบ้านเรือนของประชาชนโดยไม่มีค่าการใช้หรือเชื่อมต่อ |
แบบที่ 2 ที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง |
|
แบบที่ 2 ที่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง |
ต้องทำข้อตกลงกับ ดศ. ในการเปิดโครงข่ายโทรคมนาคมที่มีอยู่ให้ ผู้ประกอบกิจการรายอื่นเชื่อมต่อโครงข่ายเพื่อให้บริการโทรคมนาคมแก่ครัวเรือน (ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายระหว่างกันตามที่กำหนดไว้ในข้อเสนอ) สำหรับผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ไม่ประสงค์จะให้ผู้อื่นเข้าใช้โครงข่ายในส่วนของ access ของตนจะมีค่าใช้จ่ายในการใช้โครงข่ายเน็ตประชารัฐ โดยอ้างอิงตามราคาที่รัฐบาลลงทุนแบบต้นทุนส่วนเพิ่มระยะยาว (Long Run Incremental Cost) |
แบบที่ 3 ที่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง |
|
หมายเหตุ |
ผู้ประกอบกิจการฯ สามารถเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐได้ ณ จุดเชื่อมต่อที่มีความเป็นไปได้ทางเทคนิค โดยผู้ประกอบกิจการฯ ที่ขอเชื่อมต่อโครงข่ายต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำหรือจัดให้มีจุดเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มเติม |
*ผู้ประกอบกิจการฯ แบบที่ 1 ไม่มีโครงข่ายโทรคมนาคมเป็นของตนเอง และเป็นกิจการที่มีลักษณะสมควรให้มีการบริการได้โดยเสรี เช่น บริษัท เอส ที ซี เน็ทเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ผู้ประกอบกิจการฯ แบบที่ 2 มีทั้งแบบที่มีหรือไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง เป็นกิจการที่มีวัตถุประสงค์ให้บริการจำกัดเฉพาะบุคคลหรือไม่มีผลกระทบโดยนัยสำคัญต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม หรือต่อประโยชน์สาธารณะและผู้บริโภค ได้แก่ บริษัท สามารถ เทลคอม จำกัด (มหาชน) (แบบที่ 2 ไม่มีโครงข่ายฯ) บริษัท ทริปเปิลที โกลบอล เน็ท จำกัด (แบบที่ 2 มีโครงข่ายฯ)
ผู้ประกอบกิจการฯ แบบที่ 3 มีโครงข่ายเป็นของตนเอง เป็นกิจการที่มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการแก่บุคคลทั่วไปจำนวนมากหรืออาจมีผลกระทบต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม หรืออาจกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ หรือมีเหตุจำเป็นต้องคุ้มครองผู้บริโภคเป็นพิเศษ เช่น บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด
ทั้งนี้ บมจ. ทีโอที ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโครงการเน็ตประชารัฐต้องให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายอื่นเข้าใช้โครงข่ายเน็ตประชารัฐ และให้จัดส่งสำเนาสัญญาการใช้โครงข่ายเน็ตประชารัฐ ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่องการใช้และการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม พ.ศ. 2556 โดยผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถยื่นความประสงค์ได้ที่สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ
ต่างประเทศ
10. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System:EPS) ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงแรงงานสามารถดำเนินการได้ พร้อมอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว โดยอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ ออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงแรงงานเสนอร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System : EPS) เนื่องจากบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมที่ได้ลงนามเมื่อปี พ.ศ. 2558 ได้ครบกำหนดระยะเวลาการบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2561 แต่โดยที่บันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวระบุว่า บันทึกความเข้าใจจะยังคงมีผลใช้บังคับระหว่างที่มีการดำเนินการเพื่อต่ออายุ เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องขอให้มีการสิ้นสุดเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้น บันทึกความเข้าใจฯ ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก่อนที่บันทึกความเข้าใจฯ จะสิ้นสุด สาธารณรัฐเกาหลีได้เสนอขอปรับแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามกฎหมายการจ้างแรงงานต่างชาติในสาธารณรัฐเกาหลี และปรับเพิ่มการนำระบบ Point System (วิธีการคัดเลือกคนหางาน ซึ่งประกอบด้วยการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลี (EPS – Test of Proficiency in Korean : TOPIK และการทดสอบทักษะและสมรรถภาพร่างกาย) มาใช้ในการดำเนินการคัดเลือกคนงานไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลี โดยยังคงหลักการเดิม ซึ่งกระทรวงแรงงานได้พิจารณาปรับแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวแล้ว รวมทั้งกระทรวงแรงงานและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลีได้ทบทวนและเห็นชอบเนื้อหาตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่ฝ่ายไทยปรับแก้ไขด้วยแล้ว
11. เรื่อง การเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ซึ่งจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ผู้นำ G20 ณ นครโอซากา และร่างแถลงการณ์โอซากาว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ซึ่งจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ผู้นำ G20 (G20 Osaka Leaders’ Declaration) ณ นครโอซากา และเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์โอซากาว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล (Osaka Declaration on Digital Economy) ซึ่งจะมีการรับรองโดยผู้นำประเทศที่เข้าร่วมกิจกรรมคู่ขนานเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับข้างต้นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ทั้ง 2 ฉบับ มีดังนี้
1. สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ผู้นำ G20 ประจำปี 2562
(1) แสดงเจตนารมณ์ของผู้นำประเทศสมาชิก G20 ในการแสวงหาแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก และกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนและที่ทุกคนมีส่วนร่วมโดยเน้นความร่วมมือในการปรับปรุงกฎระเบียบระหว่างประเทศให้สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกปัจจุบัน
(2) ย้ำความสำคัญของการประสานนโยบายของประเทศสมาชิกเพื่อรับมือกับความท้าทายหลัก ๆ ที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งผ่านการส่งเสริมการค้าเสรีและนวัตกรรม ซึ่งรวมถึงการนำเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบดิจิทัล และการต่อต้านการทุจริตและปัญหาคอร์รัปชั่น
(3) ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะผู้สูงวัย เยาวชน สตรี และคนพิการ โดยเน้นการส่งเสริมพฤฒพลังของผู้สูงอายุเพื่อให้สามารถมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานแม้ว่าจะมีอายุสูงขึ้น ส่งเสริมให้ประเด็นด้านเพศเป็นกระแสหลักในทุกแง่มุมของนโยบายลดช่องว่างระหว่างเพศในตลาดแรงงาน ส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการให้แก่สตรีและเยาวชน
(4) ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร โดยการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ การลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร ปรับปรุงภาวะโภชนาการ สำหรับประชากรโลกที่เพิ่มจำนวนขึ้น ให้ความสำคัญกับการใช้และเข้าถึงเทคโนโลยี พัฒนาห่วงโซ่มูลค่าด้านเกษตรและอาหารที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น
(5) คงบทบาทนำในการสนับสนุนการอนุวัติวาระเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 และวาระปฏิบัติการแอดดิสอาบาบา รวมถึงจะสนับสนุนความพยายามของประเทศกำลังพัฒนาในการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
(6) มุ่งมั่นที่จะลงทุนในทุนมนุษย์และส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพที่ทุกคนเข้าถึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) โดยย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือใต้ – ใต้ และไตรภาคีในมิตินี้
(7) แสดงความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่การมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยให้ความสำคัญกับการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน การส่งเสริมสุขภาพและโภชนาการ เสริมสร้างศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ด้านการสาธารณสุข และส่งเสริมการใช้งานดิจิทัลและเทคโนโลยีนวัตกรรมต่างๆ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการระดมเงินทุนสำหรับระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศกำลังพัฒนาและการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพ
(8) ตระหนักถึงความจำเป็นในการจัดการกับความท้าทายระดับโลก ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนทรัพยากรและพลังงาน ขยะพลาสติกทางทะเล การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และความเสี่ยงจากภัยพิบัติ
(9) เน้นความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาการอพยพและการถูกบังคับให้พลัดถิ่น ผ่านการร่วมมืออย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระดับโลกในการจัดการกับต้นตอของปัญหา โดยความร่วมมือกับประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
2. สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์โอซากาว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล
(1) เห็นพ้องว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิทัลได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อทุกมิติของเศรษฐกิจและแนวทางการดำรงชีวิต และยืนยันถึงความสำคัญของการปรับและสร้างกฎระเบียบใหม่ๆ เพื่อให้ทันต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมการหารือเชิงนโยบายระหว่างประเทศด้านดิจิทัล
(2) ประกาศการเปิดตัวของ “โอซากาแทร็ก (Osaka Track)” ซึ่งเป็นกระบวนการที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความพยายามเพื่อจัดทำกฎระเบียบระหว่างประเทศ
(3) ให้ความสำคัญกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบองค์การการค้าโลกโดยเฉพาะการออกแถลงการณ์ร่วมการเริ่มเจรจาจัดทำความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของสมาชิกองค์การการค้าโลกบางประเทศ ที่เมืองดาวอส เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2562 และยืนยันความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันผลักดันพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการหารือที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมก่อนการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยที่ 12 ในเดือนมิถุนายน 2563
ทั้งนี้ การประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 มีกำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 – 29 มิถุนายน 2562 ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น
แต่งตั้ง
12. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้ง นายสมภพ ปราบณรงค์ ผู้ตรวจราชการกรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
13. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายสานิตย์ ศรีสุข ผู้อำนวยการสำนัก (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิศวกรรมโยธา) ระดับสูง) สำนักสำรวจและออกแบบ กรมทางหลวงชนบท ให้ดำรงตำแหน่ง วิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านสำรวจและออกแบบ) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
14. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นางชุลีพร บุณยมาลิก ผู้อำนวยการสำนักวางแผนการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายสิงห์ทอง ลาภพิเศษพันธุ์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น
2. นายฉัตรชัย วิริยเวชกุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายนิกรเดช พลางกูร รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ โดยการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศตามข้อ 1. ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
16. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ จำนวน 9 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
ผู้แทนองค์กรสตรีและองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิความหลากหลายทางเพศ จำนวน 6 คน
1. คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์
2. ศาสตราจารย์เกียรติคุณเพ็ญศรี พิชัยสนิธ
3. นางสาวอรุณี ศรีโต
4. นางสาวสุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล
5. นางถวิลวดี บุรีกุล
6. นายนฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน
7. นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ (ด้านนิติศาสตร์)
8. นางสาวอารีวรรณ จตุทอง (ด้านนิติศาสตร์)
9. นางสุทธศรี วงษ์สมาน (ด้านสังคมศาสตร์)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป
17. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายวิทิต อรรถเวชกุล ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป และให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของคณะกรรมการบริหารสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาลที่ได้แต่งตั้งไว้แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี