สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 25 มิถุนายน 2562

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 25 มิถุนายน 2562

วันอังคาร ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2562, 16.01 น.

25 มิ.ย.62 เวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้

กฎหมาย


1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต และแขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ….

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต และแขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

                   กค. เสนอว่า

                   1. ด้วยกองทัพบกได้ส่งคืนที่ราชพัสดุ อันเป็นที่ตั้งของมณฑลทหารบกที่ 11 และกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ รวม 2 แปลง เนื้อที่ประมาณ 484 – 3 – 21 ไร่ เนื่องจากได้เลิกใช้ประโยชน์และไม่ประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุดังกล่าวอีกต่อไป ดังนี้

                             1.1 ที่ราชพัสดุบริเวณมณฑลทหารบกที่ 11 หมายเลขทะเบียนที่ กท. 80 โฉนดที่ดินเลขที่ 19823 กท.127 (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ 19822 กท.180 (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ 19825 และ กท.1029 โฉนดที่ดินเลขที่ 19828 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ประมาณ 108 ไร่ 2 งาน 91 ตารางวา 

                             1.2 ที่ราชพัสดุบริเวณกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ หมายเลขทะเบียนที่ กท.144 (บางส่วน) โฉนดที่ดินเลขที่ 3810 และ 3814 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ประมาณ 376 ไร่ 30 ตารางวา

                   2. กค. โดยกรมธนารักษ์พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อที่ราชพัสดุทั้ง 2 แปลงดังกล่าวกองทัพบกเลิกใช้ประโยชน์และไม่ประสงค์จะใช้ประโยชน์อีกต่อไป สมควรที่จะนำไปดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุต่อไป แต่โดยที่ที่ราชพัสดุดังกล่าวมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ซึ่งมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 บัญญัติให้ที่ราชพัสดุเฉพาะที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เมื่อเลิกใช้ประโยชน์แล้ว หรือทางราชการไม่ประสงค์จะหวงห้ามอีกต่อไป ให้ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ดังนั้น จึงสมควรตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อถอนสภาพที่ราชพัสดุที่กองทัพบกได้ส่งคืนดังกล่าวต่อไป

                   สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา

                   กำหนดให้ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุบริเวณมณฑลทหารบกที่ 11 แปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.80, กท.127 (บางส่วน), กท.180 (บางส่วน) และกท.1029 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 108 ไร่ 2 งาน 91 ตารางวา และบริเวณกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.144 (บางส่วน) แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 376 ไร่ 30 ตารางวา

 

2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงเพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 รวม 3 ฉบับ 

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. …. 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงาน พ.ศ. …. 3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. …. รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

                   สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

                   1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน และการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. …. เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน การขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน การต่ออายุใบอนุญาตทำงาน การแจ้งและการจดแจ้งการขยายระยะเวลา และการแจ้งและการออกหนังสือรับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว 

                   2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงาน พ.ศ. …. เป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงานต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้ (1) เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (2) ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ (3) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวภายในระยะเวลา 1 ปี ก่อนวันขอรับใบอนุญาตทำงาน (4) ไม่เป็นผู้เจ็บป่วยด้วยโรค ดังนี้ โรคเรื้อนระยะติดต่อ วัณโรคระยะติดต่อ โรคเท้าช้างในระยะปรากฏอาการอันเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคติดยาเสพติดให้โทษ โรคพิษสุราเรื้อรัง หรือโรคซิฟิลิสในระยะที่ 3

                   3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. …. เป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตนำคนต่างด้าวมาทำงาน ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าธรรมเนียมใบแทนใบอนุญาตนำคนต่างด้าวมาทำงาน ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและการต่ออายุใบอนุญาตทำงานหรือการขยายระยะเวลาการทำงาน และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ซึ่งไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 รวมทั้งกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำงานของคนต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ ณ ที่แห่งใดแทนการเนรเทศ คนต่างด้าวที่ถูกถอนสัญชาติ คนต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักรแต่ไม่ได้รับสัญชาติไทย และคนต่างด้าวซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ

 

3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้

                    สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

  1. กำหนดให้สลากออมทรัพย์ หมายถึง หนังสือตราสารชนิดผู้ถือหรือชนิดระบุชื่อ ซึ่งธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธ.อ.ส.) ออกให้โดยมีข้อสัญญาว่า ถ้าหนังสือตราสารนั้นถูกรางวัล ธอส.จะจ่ายเงินรางวัลให้แก่ผู้ถือหรือผู้มีชื่อในหนังสือตราสารเป็นจำนวนเงินที่กำหนดไว้ และเมื่อหนังสือตราสารนั้นมีอายุครบกำหนด ธอส.จะให้สิทธิในการต่ออายุสลากออมทรัพย์หรือจ่ายเงินคืนตามราคาสลากออมทรัพย์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราที่กำหนดให้แก่ผู้ถือหรือผู้ที่มีชื่อในหนังสือตราสาร
  2. การจำหน่ายสลากออมทรัพย์ให้ปฏิบัติตามที่ ธอส.กำหนด โดย ธอส.สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับสลากออมทรัพย์ได้ตามอัตราที่ ธอส.กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ธอส. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ธอส.
  3. กำหนดให้ ธอส.มีอำนาจดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการจัดทำ การออกจำหน่ายสลากออมทรัพย์การรับชำระเงินราคาสลากออมทรัพย์ การจ่ายดอกเบี้ยและเงินรางวัล โดยสลากออมทรัพย์จะออกจำหน่ายเป็นชุดๆ สลากออมทรัพย์ในชุดใดจะมีลักษณะ ราคา จำนวนหน่วยออมทรัพย์ เลขหมาย อายุ และอัตราดอกเบี้ย (ถ้ามี) การจ่ายเงิน สถานที่จ่ายเงิน ลำดับรางวัล จำนวนเงินรางวัล และเงื่อนไขอื่นใด ตามที่ ธอส.ประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ธอส.หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ธอส.
  4. สลากออมทรัพย์อย่างน้อยต้องแสดงราคา จำนวนหน่วยออมทรัพย์ เลขหมายอายุและดอกเบี้ย(ถ้ามี) โดยสลากออมทรัพย์แต่ละฉบับอาจถูกรางวัลในการออกรางวัลแต่ละครั้งได้มากกว่าหนึ่งรางวัลและสลากออมทรัพย์ฉบับที่เคยถูกรางวัลแล้วสามารถถูกรางวัลในการออกรางวัลครั้งต่อ ๆ ไปได้ตลอดอายุของสลากออมทรัพย์ฉบับนั้น
  5. สลากออมทรัพย์สามารถโอนได้ กรณีของสลากออมทรัพย์ชนิดผู้ถือ สามารถโอนกันได้ด้วยการส่งมอบ สำหรับสลากออมทรัพย์ชนิดระบุชื่อ สามารถโอนได้โดยให้ผู้มีชื่อบนสลากออมทรัพย์ลงลายมือชื่อในสลากและแจ้งการโอนให้ ธอส. ทราบ
  6. กำหนดให้ ธอส. ออกรางวัลสลากออมทรัพย์อย่างน้อยทุกสามเดือน โดย ธอส. ไม่จำเป็นต้องประกาศวันที่ออกรางวัลให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้  การออกรางวัลในแต่ละครั้งให้ ธอส. กระทำโดยเปิดเผยและมีบุคคลภายนอกร่วมเป็นสักขีพยาน และประกาศผลการออกรางวัลแก่สาธารณชนโดยเร็ว

 

4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ….

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

                   สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

                   ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2561 ดังนี้

การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน

การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง

1. สำนักงานเลขาธิการ

2. กองวิเคราะห์โครงการและงบประมาณ

3. ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ

4. กองบริหารจัดการลุ่มน้ำ

5. สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

6. กลุ่มตรวจสอบภายใน

7. กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร

8. ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต

9. กองนโยบายและยุทธศาสตร์

10. กลุ่มกฎหมาย

สำนักงานเลขาธิการ (คงเดิม)

กองวิเคราะห์โครงการและงบประมาณ (คงเดิม)

ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ (คงเดิม)

กองบริหารจัดการลุ่มน้ำ (คงเดิม)

สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (คงเดิม)

กลุ่มตรวจสอบภายใน (คงเดิม)

กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร (คงเดิม)

ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (คงเดิม)

กองนโยบายและแผนแม่บท (เปลี่ยนชื่อ)

กองกฎหมาย (เปลี่ยนชื่อ)

กองการต่างประเทศ (ตั้งใหม่)

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภาค 1 – 4 (ตั้งใหม่)

 

5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงเพื่อปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงเพื่อปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้

                   ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงมีหลักการดังต่อไปนี้

                   1. ร่างพระราชกฤษฎีกา

                             1.1 กำหนดให้กองทุนที่เป็นคณะบุคคลซึ่งเข้าร่วมในกองทุนซึ่งจัดตั้งและดำเนินการโดยบริษัทจัดการกิจการลงทุนตามโครงการในการประกอบกิจการจัดการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วย การควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน (ไม่ใช่กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) และผู้ลงทุนในกองทุนดังกล่าวได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เช่นเดียวกันกับที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในประมวลรัษฎากรก่อนการยกเลิกหรือการแก้ไขบทบัญญัตินั้นโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) พ.ศ. 2562

                             1.2 ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

                             1.3 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและประกอบกิจการในประเทศไทย สำหรับรายได้จากการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวต้องไม่นำต้นทุนและรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับรายได้นั้นมาหักเป็นรายจ่าย

                             1.4 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมสำหรับผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาซื้อตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออกและมีการจำหน่ายครั้งแรกในราคาต่ำกว่าราคาไถ่ถอน โดยกองทุนรวมดังกล่าวมิใช่ผู้ทรงคนแรก

                             1.5 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่เสนอขายเฉพาะแก่สำนักงานประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือนิติบุคคลอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน ตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร

                             1.6 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมสำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะส่วนที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 20 สิงหาคม 2562

                             1.7 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากรที่เกิดขึ้นจากตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศเป็นผู้ออก เฉพาะส่วนที่เกิดขึ้นก่อนการเป็นผู้ทรงตราสารแสดงสิทธิในหนี้นั้น

                             1.8 ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากกองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย แต่ไม่รวมถึงเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กอง 1) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน (กอง 2) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิเรียกร้อง (กอง 4) ให้แก่

                                      (1) บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย (บริษัททั่วไป) สำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จำนวนกึ่งหนึ่ง

                                      (2) บริษัทจดทะเบียน สำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้ทั้งจำนวน

                                      ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่บริษัทหรือบริษัทจดทะเบียนตาม (1) หรือ (2) ถือหน่วยลงทุนที่ก่อให้เกิดเงินส่วนแบ่งของกำไรนั้นไม่ถึง 3 เดือนนับแต่วันที่ได้หน่วยลงทุนนั้นมาถึงวันมีเงินได้ดังกล่าว หรือได้โอนหน่วยลงทุนนั้นไปก่อน 3 เดือนนับแต่วันที่มีเงินได้

                             1.9 กำหนดให้กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่ได้รับเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากรและถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นรายได้ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืน หรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

                   2. ร่างกฎกระทรวง

                   กำหนดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายร้อยละ 15.0 สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย

                   ทั้งนี้ กรณีเป็นผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่ายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ ให้ถือว่าผู้ออกตั๋วเงินหรือผู้ออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ให้แก่กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน และให้เรียกเก็บภาษีเงินได้จากกองทุนรวมดังกล่าวในอัตราร้อยละ 15.0 และให้ถือว่าภาษีที่เรียกเก็บนั้นเป็นภาษีที่หักไว้

                   ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงข้างต้นให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป

 

เศรษฐกิจ - สังคม

6. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น  ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร  ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2562 จำนวน 653.71 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้ค่าวัสดุอาหารค้างจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ตามที่จ่ายจริงตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

 

7. เรื่อง การขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของการเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคงจากเดิม 80,000 บาท/ครัวเรือน เป็น 89,800 บาท/ครัวเรือน โดยให้เริ่มมีผลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ

                    สาระสำคัญของเรื่อง

                   โครงการบ้านมั่นคง เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งต่อมาได้จัดเป็นโครงการภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองและชนบท โดยมีระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และสิ่งแวดล้อมที่ดี มีรูปแบบสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความสามารถในการใช้จ่ายของคนในชุมชน และเพื่อพัฒนาศักยภาพของชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถวางแผนจัดการที่อยู่อาศัยร่วมกันในระดับพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และสามารถเชื่อมโยงกับงานพัฒนาด้านต่างๆ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างบูรณาการ ซึ่งโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการ 2 ส่วน ได้แก่ 1) งบประมาณพัฒนาสาธารณูปโภคและที่อยู่อาศัย ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาปรับปรุงชุมชน (เช่น การถมดินเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย สร้างถนนในชุมชน ท่อระบายน้ำ เป็นต้น) การพัฒนาปรับปรุงที่อยู่อาศัย การบริหารจัดการในชุมชนและสนับสนุนการพัฒนาและดำเนินโครงการ และ 2) สินเชื่อในการพัฒนาที่อยู่อาศัยของชุมชน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แจ้งว่า การดำเนินโครงการบ้านมั่นคงที่ผ่านมาในปี 2553 – 2560 พบว่า งบประมาณในส่วนพัฒนาสาธารณูปโภคและที่อยู่อาศัยที่เกิดขึ้นจริงไม่เพียงพอ เนื่องจากราคาการก่อสร้างที่อยู่อาศัยมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับราคาวัสดุก่อสร้างที่ผ่านมาในปี 2553 - 2561 มีราคาสูงขึ้น ดังนั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงขอปรับแนวทางการอุดหนุนและสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับงบประมาณพัฒนาสาธารณูปโภคและที่อยู่อาศัย โดยขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคงจากเดิม 80,000 บาท/ครัวเรือน ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติไว้ (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 16 มิถุนายน 2552) เป็น 89,800 บาท/ครัวเรือน (เพิ่มในส่วนงบพัฒนาปรับปรุงชุมชน) โดยให้เริ่มมีผลในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ซึ่งเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ซึ่งการขอเพิ่มกรอบวงเงินดังกล่าวจะทำให้รัฐต้องใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้น (ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการ 20 ปี) จาก 55,200 ล้านบาท เป็น 61,793.342 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6,593.342 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.94) รายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

หน่วย  : ล้านบาท

ระยะเวลา (20 ปี)

จำนวนครัวเรือน เป้าหมาย

งบประมาณ

งบประมาณ               ที่เพิ่มขึ้น (บาท)

หมายเหตุ

เดิม

(80,000 บาท)

ต่อครัวเรือน

ขอเพิ่มในครั้งนี้ (89,800 บาท) ต่อครัวเรือน

ระยะที่ 1

(พ.ศ. 2560 - 2564)

67,210

5,376.80

5,866.80

490

 

พ.ศ. 2560

5,000

400

-

-

 

พ.ศ. 2561

6,710

536.80

-

-

 

พ.ศ. 2562

5,500

440

-

-

 

พ.ศ. 2563

20,000

1,600

1,796

196

 

พ.ศ. 2564

30,000

2,400

2,694

294

 

ระยะที่ 2

(พ.ศ. 2565 - 2569)

150,000

12,000

13,470

1,470

ปีละ 30,000 ครัวเรือน

ระยะที่ 3

(พ.ศ. 2570 - 2574)

200,000

16,000

17,960

1,960

ปีละ 40,000 ครัวเรือน

ระยะที่ 4

(พ.ศ. 2575 - 2579)

272,790

21,823.20

24,496.542

2,673.342

ปีละ 50,000 ครัวเรือน (เฉพาะปี 2579 เป้าหมาย 32,790 ครัวเรือน)

รวม

(พ.ศ. 2560– 2579)

690,000

55,200

61,793.342

6,593.342

 

 

8. เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับรายละเอียดแนวทางตามแผนฯ ให้กระทรวงคมนาคมและ ขสมก. ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้รับความเห็นของหน่วยงานไปพิจารณาดำเนินการต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง 

                   กระทรวงคมนาคม [องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)] เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก.เนื่องจาก ขสมก.ประสบปัญหาการขาดทุนอย่างต่อเนื่องและมีหนี้สินคงค้างจำนวนมาก โดยแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ขสมก.ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงระบบการทำงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการหารายได้และการบริหารจัดการหนี้สิน ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารองค์กรที่ยั่งยืนและลดภาระกับภาครัฐ ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 รับทราบและเห็นควรให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปได้ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

                   แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก.

                   1. สภาพปัญหา ขสมก.

                             1.1 สภาพรถโดยสารประจำทาง สภาพรถ รถโดยสารเก่าและทรุดโทรม/จำนวนไม่เพียงพอต่อการให้บริการ

                             1.2 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 

                             1.3 โครงสร้างองค์กร ขสมก. มีพนักงานทั้งหมด 13,599 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2561) คิดเป็นสัดส่วนต่อรถ 1 คัน ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายของพนักงาน 5.14 คน

                             1.4 ต้นทุนในการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ค่าเชื้อเพลิง ค่าเหมาซ่อม และดอกเบี้ยจ่ายมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

                             1.5 สถานะทางการเงิน รายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย เก็บค่าโดยสารต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง

                   2. แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก.

                             2.1 วัตถุประสงค์ที่ 1 เพื่อปรับปรุงระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพ โดยใช้รถใหม่และเทคโนโลยีที่ทันสมัย

                                       กลยุทธ์ที่ 1 จัดหารถโดยสารใหม่/ปรับปรุงสภาพรถเดิม เช่น ซื้อรถ NGV ปรับปรุงรถ NGV เดิม ซื้อรถไฮบริด รถ EV เช่ารถโดยสารใหม่

                                       กลยุทธ์ที่ 2 การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ เช่น ติดตั้งระบบ E – Ticket ชำระค่าโดยสารด้วย QR – Code ติดตั้งระบบ GPS ให้บริการ WIFI บนรถ 

                                       กลยุทธ์ที่ 3 การปรับปรุงเส้นทางเดินรถ เช่น เชื่อมต่อเส้นทางกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ให้บริการเส้นทางที่ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญ 

                             2.2 วัตถุประสงค์ที่ 2 เพื่อให้ ขสมก. สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ลดภาระกับภาครัฐ

                                       กลยุทธ์ที่ 1 ลดค่าใช้จ่ายพนักงาน เช่น โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับลง ลดพนักงานเป็น 2.75 คนต่อรถ 1 คัน ในปี 2565

                                       กลยุทธ์ที่ 2 ลดค่าซ่อมบำรุงและค่าเชื้อเพลิง เช่น จัดหารถใหม่ให้ได้ตามแผน เพื่อลดค่าซ่อมบำรุง และจัดหารถที่ใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนน้ำมันดีเซล

                                       กลยุทธ์ที่ 3 เพิ่มรายได้ เช่น พัฒนาพื้นที่อู่บางเขนเป็นศูนย์การค้า โรงแรมระดับบน และพื้นที่อู่มีนบุรีเป็นตลาด

                                       กลยุทธ์ที่ 4 การบริหารหนี้สิน

                   3. ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

                             3.1 รถโดยสารมีคุณภาพการให้บริการที่ดีขึ้น สามารถอำนวยความสะดวกและยกระดับความปลอดภัยให้แก่ประชาชน 

                             3.2 การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพ รองรับภารกิจในอนาคต มุ่งสู่ BMTA 4.0

                             3.3 ขสมก. มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี สามารถเลี้ยงตนเองได้ ลดภาระกับภาครัฐ และสามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้อย่างยั่งยืน

 

9. เรื่อง การเปิดโครงข่ายเน็ตประชารัฐตามหลักการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบให้ ดศ. เปิดโครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมาย จำนวน 24,700 หมู่บ้าน ตามหลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายเน็ตประชารัฐแบบเปิด (Open Access Network) ตามแนวทางที่คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) เห็นชอบเพื่อให้มีการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐไปให้บริการปลายทาง (Last Mile Access) ไปยังทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นการใช้โครงข่ายเน็ตประชารัฐให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความซ้ำซ้อนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและลดต้นทุนในการคิดอัตราค่าบริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยราคาที่เหมาะสมอีกทั้งยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม

                   2. ให้หน่วยราชการต่าง ๆ สนับสนุนให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐเพื่อต่อยอดการพัฒนาบริการภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ e-Health e-Learning e-Agriculture e-Commerce และ e-Government เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของภาครัฐได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐต่างๆ สามารถสร้างการรับรู้สู่ชุมชน โดยการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร และรับทราบปัญหา อุปสรรค ความต้องการ ผ่านเครือข่ายอาสาสมัครที่มีอยู่ในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างถูกต้องตรงตามเป้าประสงค์ของนโยบายรัฐบาลได้อย่างทันเหตุการณ์ รวดเร็ว ในรูปแบบประชารัฐ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. ดศ. รายงานผลการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กิจกรรมที่ 1 โครงการเน็ตประชารัฐ และโครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

                             1.1 ดศ. ได้ดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐโดยขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสื่อสัญญาณสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber-To-The-x: FTTx) ให้ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมาย จำนวน 24,700 หมู่บ้าน และจัดให้มีจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wi-Fi) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการ อย่างน้อยหมู่บ้านละ 1 จุดให้บริการ ที่ระดับความเร็วไม่ต่ำกว่า 30 Mbps/10 Mbps (Download/Upload) เสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2560 โดยปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเข้าใช้งาน Wi-Fi เน็ตประชารัฐ จำนวน 5.21 ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562) ทั้งนี้ โครงข่ายเน็ตประชารัฐยังได้มีการออกแบบสถาปัตยกรรมที่สามารถเปิดให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเชื่อมต่อเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตปลายทาง (Last Mile Access) ไปยังทุกภาคส่วนในพื้นที่เป้าหมาย (เช่น บ้านเรือนประชาชน สถานประกอบการ) ได้อย่างมีคุณภาพและทั่วถึงได้ในลักษณะโครงข่ายเชื่อมต่อแบบเปิด (Open Access Network) ซึ่งจะเป็นการลดความซ้ำซ้อนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและลดต้นทุนในการคิดอัตราค่าบริการอินเทอร์เน็ตกับประชาชน เพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติตามนโยบายรัฐบาลและสอดคล้องกับแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

                             1.2 สำหรับประเด็นกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐและโครงการ ASEAN Digital Hub ดศ. ได้มีการประชุมหารือประเด็น เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน ได้มีการหารือในประเด็นเรื่องการนำโครงข่ายเน็ตประชารัฐซึ่งเป็นทรัพย์สินราชการไปให้ผู้ประกอบกิจการภาคเอกชนไปใช้ประโยชน์ในลักษณะธุรกิจ ตามหลักการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีฯ ได้สั่งการให้กรรมการผู้มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยตอบข้อหารือให้ ดศ. ทราบโดยเร็วเพื่อ ดศ. จะได้พิจารณาหาแนวทางการดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ ดศ. หารือคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตอบข้อหารือ ดศ. ดังนี้

                                      1.2.1 คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้มีหนังสือตอบข้อหารือ ดศ. แล้วสรุปได้ว่า ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในโครงการเน็ตประชารัฐเป็นทรัพย์สินของ ดศ. การที่ ดศ. จะนำโครงข่ายเน็ตประชารัฐซึ่งเป็นทรัพย์สินราชการไปให้ผู้ประกอบกิจการภาคเอกชนเข้าไปใช้ประโยชน์ต่อยอดให้บริการ ถือเป็นการใช้ทรัพย์สินตามวัตถุประสงค์ของการรับจัดสรรเงินงบประมาณ ดศ. สามารถดำเนินการได้ โดยการใช้ทรัพย์สินเป็นเรื่องของการขออนุญาตให้สิทธิ ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นที่คณะกรรมการวินิจฉัยจะต้องพิจารณาแต่ประการใด แต่ ดศ. ควรกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการควบคุมเพื่อรองรับในเรื่องของสิทธิการเข้าใช้งานโครงข่ายดังกล่าวด้วย

                                      1.2.2 สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ขอให้ ดศ. นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการและรายละเอียดโครงการฯ ก่อน และ อส. จึงจะพิจารณา (ร่าง) สัญญาตัวแทนในการดำเนินโครงข่ายเน็ตประชารัฐแบบเปิด และ (ร่าง) สัญญาการใช้โครงข่ายโทรคมนาคมภายใต้โครงการเน็ตประชารัฐให้ต่อไป

                             1.3 สำหรับโครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ดศ. อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการดังกล่าวและมอบหมายให้ บมจ.ทีโอที ขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐโดยการวางโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ไปยังโรงเรียน โรงพยาบาลและสุขศาลาพระราชทานที่ยังไม่มีโครงข่าย Fiber Optic เข้าถึง เพื่อให้มีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่สนับสนุนการยกระดับความเป็นอยู่ของประชากรทางด้านการศึกษาและสาธารณสุข

                   2. ในส่วนข้อเสนอของ ดศ. ในครั้งนี้ จะเป็นการดำเนินการเปิดโครงข่ายเน็ตประชารัฐตามหลักเกณฑ์โครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ซึ่งเป็นการเปิดให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเข้าเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐ (ซึ่งเป็นทรัพย์สินของราชการ) เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการลงทุนวางโครงข่ายซึ่งเป็นการลดต้นทุนการคิดอัตราค่าบริการไปยังบ้านเรือนประชาชน ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะอย่างในพื้นที่ห่างไกล (เนื่องจากเอกชนไม่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์) มีโอกาสเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดย ดศ.ได้เสนอหลักเกณฑ์โครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) และข้อเสนอการใช้โครงข่ายโทรคมนาคม (Reference Access Offer: RAO) ประกอบกับคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2561 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายเน็ตประชารัฐแบบเปิดด้วยแล้ว ดังนี้

ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม*

หลักเกณฑ์

แบบที่ 1 ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง

สามารถเชื่อมต่อจากโครงข่ายเน็ตประชารัฐไปยังบ้านเรือนของประชาชนโดยไม่มีค่าการใช้หรือเชื่อมต่อ

แบบที่ 2 ที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง

แบบที่ 2 ที่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง

ต้องทำข้อตกลงกับ ดศ. ในการเปิดโครงข่ายโทรคมนาคมที่มีอยู่ให้            ผู้ประกอบกิจการรายอื่นเชื่อมต่อโครงข่ายเพื่อให้บริการโทรคมนาคมแก่ครัวเรือน (ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายระหว่างกันตามที่กำหนดไว้ในข้อเสนอ) สำหรับผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ไม่ประสงค์จะให้ผู้อื่นเข้าใช้โครงข่ายในส่วนของ access ของตนจะมีค่าใช้จ่ายในการใช้โครงข่ายเน็ตประชารัฐ โดยอ้างอิงตามราคาที่รัฐบาลลงทุนแบบต้นทุนส่วนเพิ่มระยะยาว (Long Run Incremental Cost)

แบบที่ 3 ที่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง

หมายเหตุ

ผู้ประกอบกิจการฯ สามารถเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐได้                ณ จุดเชื่อมต่อที่มีความเป็นไปได้ทางเทคนิค โดยผู้ประกอบกิจการฯ ที่ขอเชื่อมต่อโครงข่ายต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำหรือจัดให้มีจุดเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมเพิ่มเติม

 *ผู้ประกอบกิจการฯ แบบที่ 1 ไม่มีโครงข่ายโทรคมนาคมเป็นของตนเอง และเป็นกิจการที่มีลักษณะสมควรให้มีการบริการได้โดยเสรี เช่น บริษัท เอส ที ซี เน็ทเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด

ผู้ประกอบกิจการฯ แบบที่ 2 มีทั้งแบบที่มีหรือไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง เป็นกิจการที่มีวัตถุประสงค์ให้บริการจำกัดเฉพาะบุคคลหรือไม่มีผลกระทบโดยนัยสำคัญต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม หรือต่อประโยชน์สาธารณะและผู้บริโภค ได้แก่ บริษัท สามารถ เทลคอม จำกัด (มหาชน) (แบบที่ 2 ไม่มีโครงข่ายฯ) บริษัท ทริปเปิลที โกลบอล เน็ท จำกัด (แบบที่ 2 มีโครงข่ายฯ)

ผู้ประกอบกิจการฯ แบบที่ 3 มีโครงข่ายเป็นของตนเอง เป็นกิจการที่มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการแก่บุคคลทั่วไปจำนวนมากหรืออาจมีผลกระทบต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม หรืออาจกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ หรือมีเหตุจำเป็นต้องคุ้มครองผู้บริโภคเป็นพิเศษ เช่น บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด

                   ทั้งนี้ บมจ. ทีโอที ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการโครงการเน็ตประชารัฐต้องให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายอื่นเข้าใช้โครงข่ายเน็ตประชารัฐ และให้จัดส่งสำเนาสัญญาการใช้โครงข่ายเน็ตประชารัฐ ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่องการใช้และการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม พ.ศ. 2556 โดยผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถยื่นความประสงค์ได้ที่สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ

 

ต่างประเทศ

10. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System:EPS)  ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงแรงงานสามารถดำเนินการได้ พร้อมอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว โดยอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ ออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ

                             สาระสำคัญของเรื่อง

                   กระทรวงแรงงานเสนอร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System : EPS) เนื่องจากบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมที่ได้ลงนามเมื่อปี พ.ศ. 2558 ได้ครบกำหนดระยะเวลาการบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2561 แต่โดยที่บันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวระบุว่า บันทึกความเข้าใจจะยังคงมีผลใช้บังคับระหว่างที่มีการดำเนินการเพื่อต่ออายุ เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องขอให้มีการสิ้นสุดเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้น บันทึกความเข้าใจฯ ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก่อนที่บันทึกความเข้าใจฯ จะสิ้นสุด สาธารณรัฐเกาหลีได้เสนอขอปรับแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามกฎหมายการจ้างแรงงานต่างชาติในสาธารณรัฐเกาหลี และปรับเพิ่มการนำระบบ Point System (วิธีการคัดเลือกคนหางาน ซึ่งประกอบด้วยการทดสอบความสามารถภาษาเกาหลี (EPS – Test of Proficiency in Korean : TOPIK และการทดสอบทักษะและสมรรถภาพร่างกาย) มาใช้ในการดำเนินการคัดเลือกคนงานไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลี โดยยังคงหลักการเดิม ซึ่งกระทรวงแรงงานได้พิจารณาปรับแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวแล้ว รวมทั้งกระทรวงแรงงานและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลีได้ทบทวนและเห็นชอบเนื้อหาตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่ฝ่ายไทยปรับแก้ไขด้วยแล้ว

 

11. เรื่อง การเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ซึ่งจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ผู้นำ G20 ณ นครโอซากา และร่างแถลงการณ์โอซากาว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ซึ่งจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ผู้นำ G20 (G20 Osaka Leaders’ Declaration) ณ นครโอซากา และเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์โอซากาว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล (Osaka Declaration on Digital Economy) ซึ่งจะมีการรับรองโดยผู้นำประเทศที่เข้าร่วมกิจกรรมคู่ขนานเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับข้างต้นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ

                   สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ทั้ง 2 ฉบับ มีดังนี้

                   1. สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ผู้นำ G20 ประจำปี 2562

                             (1) แสดงเจตนารมณ์ของผู้นำประเทศสมาชิก G20 ในการแสวงหาแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก และกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนและที่ทุกคนมีส่วนร่วมโดยเน้นความร่วมมือในการปรับปรุงกฎระเบียบระหว่างประเทศให้สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกปัจจุบัน

                             (2) ย้ำความสำคัญของการประสานนโยบายของประเทศสมาชิกเพื่อรับมือกับความท้าทายหลัก ๆ ที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งผ่านการส่งเสริมการค้าเสรีและนวัตกรรม ซึ่งรวมถึงการนำเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบดิจิทัล และการต่อต้านการทุจริตและปัญหาคอร์รัปชั่น

                             (3) ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะผู้สูงวัย เยาวชน สตรี และคนพิการ โดยเน้นการส่งเสริมพฤฒพลังของผู้สูงอายุเพื่อให้สามารถมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานแม้ว่าจะมีอายุสูงขึ้น ส่งเสริมให้ประเด็นด้านเพศเป็นกระแสหลักในทุกแง่มุมของนโยบายลดช่องว่างระหว่างเพศในตลาดแรงงาน ส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการให้แก่สตรีและเยาวชน

                             (4) ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร โดยการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ การลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร ปรับปรุงภาวะโภชนาการ สำหรับประชากรโลกที่เพิ่มจำนวนขึ้น ให้ความสำคัญกับการใช้และเข้าถึงเทคโนโลยี พัฒนาห่วงโซ่มูลค่าด้านเกษตรและอาหารที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น

                             (5) คงบทบาทนำในการสนับสนุนการอนุวัติวาระเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 และวาระปฏิบัติการแอดดิสอาบาบา รวมถึงจะสนับสนุนความพยายามของประเทศกำลังพัฒนาในการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

                             (6) มุ่งมั่นที่จะลงทุนในทุนมนุษย์และส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพที่ทุกคนเข้าถึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) โดยย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือใต้ – ใต้ และไตรภาคีในมิตินี้

                             (7) แสดงความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่การมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยให้ความสำคัญกับการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน การส่งเสริมสุขภาพและโภชนาการ เสริมสร้างศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ด้านการสาธารณสุข และส่งเสริมการใช้งานดิจิทัลและเทคโนโลยีนวัตกรรมต่างๆ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการระดมเงินทุนสำหรับระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศกำลังพัฒนาและการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพ

                             (8) ตระหนักถึงความจำเป็นในการจัดการกับความท้าทายระดับโลก ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนทรัพยากรและพลังงาน ขยะพลาสติกทางทะเล การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

                             (9) เน้นความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาการอพยพและการถูกบังคับให้พลัดถิ่น ผ่านการร่วมมืออย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระดับโลกในการจัดการกับต้นตอของปัญหา โดยความร่วมมือกับประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง

                   2. สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์โอซากาว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล

                             (1) เห็นพ้องว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิทัลได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อทุกมิติของเศรษฐกิจและแนวทางการดำรงชีวิต และยืนยันถึงความสำคัญของการปรับและสร้างกฎระเบียบใหม่ๆ เพื่อให้ทันต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมการหารือเชิงนโยบายระหว่างประเทศด้านดิจิทัล

                             (2) ประกาศการเปิดตัวของ “โอซากาแทร็ก (Osaka Track)” ซึ่งเป็นกระบวนการที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความพยายามเพื่อจัดทำกฎระเบียบระหว่างประเทศ

                             (3) ให้ความสำคัญกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบองค์การการค้าโลกโดยเฉพาะการออกแถลงการณ์ร่วมการเริ่มเจรจาจัดทำความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของสมาชิกองค์การการค้าโลกบางประเทศ ที่เมืองดาวอส เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2562 และยืนยันความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันผลักดันพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการหารือที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมก่อนการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยที่ 12 ในเดือนมิถุนายน 2563

                   ทั้งนี้ การประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 มีกำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 – 29 มิถุนายน 2562 ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น

 

แต่งตั้ง

12. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงแรงงาน)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้ง นายสมภพ ปราบณรงค์ ผู้ตรวจราชการกรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

13. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม)

                    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายสานิตย์ ศรีสุข ผู้อำนวยการสำนัก (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิศวกรรมโยธา) ระดับสูง) สำนักสำรวจและออกแบบ กรมทางหลวงชนบท ให้ดำรงตำแหน่ง วิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านสำรวจและออกแบบ) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

14. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแต่งตั้ง นางชุลีพร บุณยมาลิก ผู้อำนวยการสำนักวางแผนการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้

                   1. นายสิงห์ทอง ลาภพิเศษพันธุ์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น

                   2. นายฉัตรชัย วิริยเวชกุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง  

                   3. นายนิกรเดช พลางกูร รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง   

                   ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ โดยการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศตามข้อ 1. ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่   ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

16. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ จำนวน 9 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้

                   ผู้แทนองค์กรสตรีและองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิความหลากหลายทางเพศ จำนวน 6 คน

                   1. คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์

                   2. ศาสตราจารย์เกียรติคุณเพ็ญศรี พิชัยสนิธ

                   3. นางสาวอรุณี ศรีโต

                   4. นางสาวสุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล

                   5. นางถวิลวดี บุรีกุล 

                   6. นายนฤพนธ์ ด้วงวิเศษ 

                   ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน

                   7. นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ (ด้านนิติศาสตร์)

                   8. นางสาวอารีวรรณ จตุทอง (ด้านนิติศาสตร์)

                   9. นางสุทธศรี วงษ์สมาน (ด้านสังคมศาสตร์)

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป

 

17. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายวิทิต อรรถเวชกุล ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป และให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของคณะกรรมการบริหารสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาลที่ได้แต่งตั้งไว้แล้ว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top