‘ซูเปอร์โพล’จวกแหลก
กระทำมิบังควร
โจมตี‘บิ๊กตู่’ถวายสัตย์ฯ
วันนอร์พร้อมถอนญัตติ
ถ้านายกฯรับปากจะแก้ไข
ปชป.สัมมนากู้วิกฤติพรรค
เลือกตั้งใหม่จอง155สส.
ซูเปอร์โพล เผยประชาชน 73.4 เปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วยที่ฝ่ายการเมืองนำประเด็นถวายสัตย์ฯ ไปโจมตีนายกรัฐมนตรี ระบุเป็นการกระทำที่มิบังควร ในขณะที่ “วันนอร์” บอกฝ่ายค้านพร้อมถอนญัตติถ้านายกฯรับปากจะแก้ไข ด้านประธานวิปรัฐบาลกวดขัน สส.ห้ามลงพื้นที่วันประชุมสภา ด้าน “ปชป.” จัดสัมมนาใหญ่เรียกศรัทธาคืน โวเลือกตั้งครั้งหน้าต้องได้สส.เกิน 155 ที่นั่ง
เมื่อวันที่ 18สิงหาคม นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ปมถวายสัตย์ฯ ในสายตาประชาชน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,102 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ระหว่าง 10 - 17 สิงหาคม. พ.ศ. 2562 ทีผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.3 ระบุเป็นการไม่บังควร ถึง ไม่บังควรอย่างยิ่งที่ฝ่ายการเมืองนำปมถวายสัตย์ฯ มาโจมตีกันในเวลานี้ ในขณะที่ร้อยละ 24.7 ระบุเป็นเรื่องที่นำมาโจมตีกันได้
ที่น่าสนใจ คือ เมื่อถามถึงความเห็นของประชาชนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีสร้างผลงานแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน มีความเหมาะสมอย่างไร พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.7 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีสร้างผลงานแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชนที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ ในขณะที่ร้อยละ 35.3 ระบุมีคนอื่นเหมาะสมกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความสุขของประชาชนที่เห็นคนไทยเป็นหนึ่งเดียวกันแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า คนไทยมีความสุขอยู่ที่ 9.12 เมื่อเห็นคนไทยเป็นหนึ่งเดียวกันแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ นอกจากนี้ เมื่อถามถึงความภูมิใจในความเป็นคนไทย สำนึกรู้คุณแผ่นดินไทยของประชาชน พบว่า คนไทยมีความภูมิใจในความเป็นคนไทย สำนึกรู้คุณแผ่นดินไทย อยู่ที่ร้อยละ 9.78 คะแนน
ปชช.แนะใส่ใจปัญหาปากท้อง
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า โพลนี้ชี้ว่าประชาชนทั่วไปแยกแยะออกได้ว่าอะไรเป็นเรื่องการเมือง อะไรเป็นความสุขต่อความจงรักภักดีความภูมิใจในความเป็นคนไทยสำนึกรู้คุณแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม โพลนี้สะท้อนให้เห็นด้วยว่า ฝ่ายการเมืองกำลังทำในเรื่องที่ไม่บังควรถึงไม่บังควรอย่างยิ่งและไม่ตอบโจทย์ของประชาชนเพราะสิ่งสำคัญสุดในเวลานี้คือความเดือดร้อนของประชาชนเรื่องปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ รายจ่ายที่มากกว่ารายได้
“ผู้นำพรรคการเมืองใหญ่บางพรรคเคยกล่าวหารัฐบาลทหารในช่วงก่อนการเลือกตั้งว่ารัฐบาลทหารไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจึงละเลยปัญหาประชาชนไม่ใส่ใจความเดือดร้อนของประชาชน แต่วันนี้ประเทศของเรามีนักการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจในสภาฯ ตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว กลับพบแต่ข่าวเรื่องไกลตัวประชาชนที่ผู้นำพรรคการเมืองเหล่านั้นทำอยู่ เช่น การแต่งกายในสภา ความพยายามแก้รัฐธรรมนูญ และล่าสุดปมถวายสัตย์ฯ ของนายกรัฐมนตรี คำถามคือ ผู้นำพรรคการเมืองจากการเลือกตั้งใส่ใจประชาชนมากกว่ารัฐบาลทหารจริงหรือ” ผศ.ดร.นพดล ระบุ
ห้ามสส.ลงพื้นที่วันประชุม
ด้านนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร หรือวิปรัฐบาล กล่าวถึงการที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตข้อบังคับการประชุมสภาฯถึง 2 ครั้งซ้อนว่า แม้การโหวตข้อบังคับสภาผู้แทนราษฎรจะเหลืออีกหลายข้อ แต่วิปรัฐบาลเห็นว่าเรื่องดังกล่าวนี้ ไม่จำเป็นต้องโหวตเหมือนกันทั้งหมด โดยเปิดโอกาสให้ ส.ส.โหวตได้ตามที่ตัวเองเห็นว่าเหมาะสม เพราะข้อบังคับฯคือกฎที่จะนำมาใช้ในสภา ซึ่ง ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลต้องใช้เหมือนกันทั้งสิ้น ฉะนั้น ส.ส.จึงมีสิทธิ์โหวตตามที่ตัวเองเห็นว่าเหมาะสม ดังนั้น จึงไม่ควรมองประเด็นนี้ว่าเป็นการหยั่งเสียงรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพราะเป็นเรื่องของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยกับข้างมาก และไม่ถือว่าเป็นการกดดันฝ่ายรัฐบาล ไม่เหมือนกันปัญหา เช่น องค์ประชุมไม่ครบ ซึ่งเป็นเรื่องที่วิปฯจะต้องเข้าไปดูแล
“ยอมรับว่า ส.ส.บางส่วนติดภารกิจ ไม่สามารถมาร่วมโหวตได้ แต่ไม่ถือว่าเป็นประเด็นหลัก เพราะการโหวตข้อบังคับนั้น มีทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่ลงให้ฝ่ายค้าน และ ส.ส.ฝ่ายค้านที่ลงให้ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งไม่มีผลอะไร ไม่เหมือนกับการโหวตกฎหมายที่จะเป็นตัวชี้วัดเสียงของรัฐบาลและฝ่ายค้านจริงๆ และวิปเองก็ไม่ได้เน้นว่าจะต้องโหวตเหมือนกันทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ได้ขอร้อง ส.ส.ทุกคนว่าพยายามอย่าลงพื้นที่ในวันพุธและพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันประชุมสภาฯ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก ส.ส.พรรค พปชร.และขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลได้ทราบถึงปัญหาแล้ว เชื่อว่าจากนี้จะดีขึ้น เพราะช่วงแรกๆเราไม่ได้กวดขันเท่าที่ควร” นายวิรัช กล่าว
หาทางรับมือญัตติฝ่ายค้าน
นายวิรัช กล่าวว่า ประเด็นที่วิปรัฐบาลให้ความสำคัญในขณะนี้คือ กรณีที่ ส.ส.ฝ่ายค้านยื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ขออภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในประเด็นการนำคณะรัฐมนตรี(ครม.) กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน และแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยไม่แจ้งที่มางบประมาณ ซึ่งยังไม่ทราบว่าประธานสภาฯได้บรรจุนระเบียบวาระแล้วหรือไม่ หากบรรจุในระเบียบวาระแล้ว วิปรัฐบาลจะมาดูว่าควรจะดำเนินการอย่างไร เช่น ฝ่ายรัฐบาลจะตอบข้อซักถามได้มากน้อยเพียงใด โดยวันที่ 19 สิงหาคมนี้ วิปรัฐบาลจะหารือกันในเบื้องต้น ก่อนจะพูดคุยกันต่อในวันที่ 20 สิงหาคมนี้
นายวิรัช กล่าวว่า สำหรับการอภิปรายตามมาตรา 152 นั้น จะไม่มีการลงมติ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลสามารถตอบได้ แต่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะขึ้นช่วยอภิปรายไม่ได้ เพียงแต่สามารถคัดค้านบางเรื่องได้
ฝ่ายค้านพร้อมถอนถ้านายกฯแก้ไข
เวลา 11.50 น ที่โรงแรมอัญชาลีน่าแกรนด์ กรุงเทพฯ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ให้สัมภาษณ์กรณี 7 พรรคฝ่ายค้านอาจถอนญัตติขอเปิดอภิปรายแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาตอบกระทู้กรณีถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์หน้า ว่า ประเด็นหลักที่ยื่นอภิปรายในครั้งนี้ คือการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากนายกฯมาตอบว่าจะแก้ไขให้ถูกต้องด้วยวิธีการใดก็ตาม เราก็พร้อมถอนญัตติออก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการตอบกระทู้สดในสภาจะมีขึ้นในวันพุธเท่านั้น ดังนั้น หากในวันพุธที่ 21 สิงหาคม นายกฯยังไม่มาตอบ พรรคร่วมฝ่ายค้านก็จะเดินหน้าต่อ และถ้าสภาบรรจุญัตติไปแล้ว เท่ากับการถอนญัตติต้องขออนุมัติจากสภา ซึ่งคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะฝ่ายรัฐบาลอยากให้ถอนอยู่แล้ว ส่วนฝ่ายค้านก็ยินดี เพียงแต่ขั้นตอนจะยุ่งยากมากขึ้น
ขอบเขตการอภิปรายกว้างขวง
นอกจากนั้น ถ้าไม่ถอนญัตติ และให้มีการอภิปรายต่อไป ขอบเขตของการอภิปรายจะกว้างกว่าแค่เรื่องถวายสัตย์ เพราะมีข้อกำหนดไว้ว่า ในการอภิปรายทั่วไป ฝ่ายค้านสามารถพูดถึงข้อบกพร่องของนายกฯ หรือคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้ ดังนั้น ทางที่ดีคือนายกฯควรมาตอบและปฏิบัติให้ครบถ้วน เพราะฝ่ายค้านก็ไม่ได้อยากอภิปรายเรื่องนี้
เมื่อถามถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุหากพล.อ.ประยุทธ์ว่างจากภารกิจ ก็คงไปตอบสภา นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า อยากบอกรองนายกฯวิษณุว่า ในระบอบประชาธิปไตยนั้นรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับสภา วันที่มีการประชุมสภา รัฐบาลต้องมาอยู่สภา เพราะสภาคือที่รวมของประชาชนทั่วประเทศ ปัญหาทั้งหมดถูกรวมไว้ที่นี่ รัฐบาลจะบอกว่าติดภารกิจหรือนัดอื่นไม่ได้ เพราะโดยธรรมเนียมปฏิบัติทั่วโลก ในวันประชุมสภา นายกฯและครม.เขามาสภากันหมด ถ้าจะมีนัดกับใคร เป็นความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้มาพบที่สภา ซึ่งสามารถจัดห้องไว้ให้นายกฯ รับแขกได้
“ต้องปฏิบัติตามนี้ ไม่ใช่ว่าวันประชุมสภาแต่ไปนัดที่อื่น อาจถือว่าเป็นการจงใจเลี่ยงได้ ” นายวันมูหะมัดนอร์กล่าว
ยังเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
เมื่อถามต่อว่า นายวิษณุระบุว่านายกฯอาจตอบแค่สองสามประโยค แล้วให้คนอื่นตอบได้ เพราะคนที่รู้มีเยอะ และการยื่นอภิปรายตามม.152 เป็นการถามรัฐบาล ไม่ใช่ตัวบุคคล นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า การจะให้ใครมาตอบนั้นขึ้นอยู่กับประเด็นที่ฝ่ายค้านถาม ถ้าฝ่ายค้านถามเรื่องที่ว่าทำไมนายกฯกล่าวปฏิญาณไม่ครบ คนอื่นจะมาตอบแทนไม่ได้ เพราะเป็นการถามเจาะจงตัว และการปฏิบัติก็เป็นเรื่องของนายกฯ คนอื่นจะมาตอบแทนนายกฯได้อย่างไร เพราะเขาไม่ได้เป็นคนอ่าน และถ้านายกฯไม่มาตอบ ฝ่ายค้านอาจบอกว่าไม่ต้องการฟังรัฐมนตรี เพราะมันเป็นประเด็นของนายกฯ
เมื่อถามถึงความชัดเจนในการใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 151 และ 152 เพื่อเปิดอภิปรายในสภา นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า สมมุติถ้าใช้มาตรา 151 ไปแล้ว ภายใน 1 ปีนั้น จะใช้มาตราดังกล่าวไม่ได้อีก แต่สามารถใช้มาตรา 152 ได้ ดังนั้น ฝ่ายค้าน จึงยังสามารถขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีการระบุรายละเอียดให้มากขึ้น เช่น จะไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีกี่คน พฤติกรรมที่ไม่ไว้วางใจนั้นคืออะไร เป็นต้น
ปชป.ร่วม,เบิร์ธเดย์’ไพฑูรย์’
เมื่อเวลา 09.00 น.. ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ จัดสัมมนา “รวมพลังประชาธิปัตย์ ภาคเหนือ” โดยระหว่างการสัมมนานั้น ทางนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำส.ส.ภาคเหนือ ร่วมอวยพรวันเกิดนายไพฑูรย์ แก้วทอง อดีตรมว.แรงงาน และอดีตรองหัวหน้าพรรคดูแลพื้นที่ภาคเหนือ อายุครบ 83 ปี นายไพฑูรย์กล่าวตอนหนึ่งว่า ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ ตัวแทนกทม.ไม่เหลือเลย แต่ก็มีโอกาสได้ทำงานร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับประชาชน คือกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ 3กระทรวงนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำงานให้ประชาชน จึงอยากให้คณะรัฐมนตรี (ครม.)ชุดนี้อยู่ได้ และมีความบริสุทธิ์ แต่รัฐมนตรีของประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหา เพราะบริสุทธิ์แน่นอน
‘เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม เปลี่ยนไปเยอะ อยากขอให้ท่านพูดน้อยหน่อย เพราะท่านเป็นคนพูดเร็ว ขอให้ดูพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นตัวอย่าง สมัยก่อนเรียกว่าเตมีย์ใบ้ ถามมาบางครั้งก็ไม่ต้องตอบ เพราะถ้าตอบแล้วทำให้ตกลงไปก็ไม่ดี บางเรื่องฟังแล้วไม่ต้องพูดก็ได้ ผมคิดว่าจะอยู่ได้ครบ 4 ปี สำหรับผมปีนี้อายุ84 ปีแล้ว ไม่ได้เข้ามาร่วมการเมืองเต็มตัว แต่ก็คอยช่วยอยู่เบื้องหลังเต็มที่ อยากให้พวกเราภาคเหนือผู้ที่จะลงสมัคร ส.ส .ทำงานตลอด และเต็มที่”นายไพฑูรย์กล่าว
ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวขอบคุณที่นายไพฑูรน์ ได้ทำงานช่วยเหลือร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพรรคมาตลอด ตนขอให้ทุกคนยึดคำพูดของนายไพฑูรย์ ที่บอกว่าหัวใจของการทำงาน คือเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต ประชาชนเลือกเรามาสิ่งที่ตอบแทนได้ คือการทำงานด้วยความรับผิดชอบ
กระตุ้นพรรคเดินหน้ากวาดสส.
ด้านนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรค ปชป.และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ภาคเหนือ กล่าวเปิดการสัมมนาตอนหนึ่งว่า จากนี้ทุกคนต้องทำงานตามยุทธศาสตร์ที่พรรคมอบหมาย ในส่วนของภาคเหนือจะต้องทำพื้นที่ด้วยการกำหนดเป้าหมายสมาชิกพรรค แต่ละเขตควรมีสมาชิก 100 คนขึ้นไป ส่วนเขตที่มีความพร้อมมีส.ส.อยู่ ขอให้มีการจัดตั้งสาขาพรรค และควรต้องมีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 500 คน ส่วนการขับเคลื่อนของพรรคจะยึด 3 หลัก คือ สมาชิก สภา และรัฐบาล ในส่วนของภาคเหนือจะต้องมียุทธศาสตร์หลัก มีคณะกรรมการขับเคลื่อนตามหลักยุทธศาสตร์ใหญ่ และมีการเรียกร้องให้มีนโยบายภาค
วางเป้าได้สส.ทั่วไทย155เขต
ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกลยุทธ์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค ว่า การเข้าสู่โลกออนไลน์ ออฟไลน์ นำมาสู่การวางยุทธศาสตร์ การขับเคลื่อน และการวางกลไก จะมีการสร้างนักรบในการทำงานเพื่อประชาชนของพรรค เขตละ 5 คน เป็นทีมอเวนเจอร์ของเขตเพื่อทำงานร่วมกับส.ส. อดีต ส.ส. โดยมีเวลาทำงาน 350 เขต ในระยะเวลา 4 เดือน และกลยุทธ์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จะยึดแนวทาง ติดอาวุธความคิด ใกล้ชิดมวลชน เปิดพรรคกว้าง สร้างเครือข่าย ขยายฐานพรรค ประจักษ์ผลงาน สื่อสารฉับไว อุดมการณ์ทันสมัย สร้างภาพลักษณ์ใหม่ ชนะใจประชาชน เราเป็นพรรคที่ไม่มีนายทุน แต่เราโชคดีที่ประชาชนอุดหนุนด้วยเงินภาษีมากที่สุดในประเทศ เราจะเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง จะต้องรักษาฐานเสียงเดิม 3.9 ล้านเสียง และเป้าหมายหลักคือจะต้องเอา 7ล้านเสียงที่หายไปกลับคืนมาให้ได้ ทั้งนี้ พรรควางเป้าหมายว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะต้องได้สส. 155เขต คือ ภาคเหนือต้องได้ 20เขต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 25เขต ภาคกลาง 30เขต กทม.30เขตและภาคใต้ 50เขต ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะต้องพร้อมทำงานไม่ว่าจะเป็นเสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อย
‘จุติ’เอาอดีตมาเป็นบทเรียน
จากนั้นนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจำไว้เป็นบทเรียนสำหรับเราทุกคน ถือเป็นการปฏิรูปทางเทคโนโลยีทุกมติ และมีผลกับการเมือง การสู้ครั้งหน้าต้องทิ้งกรอบความคิดเดิมๆทั้งหมด เพราะเป็นโลกการสื่อสาร เราจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ความจริงคือเราต้องสู้บนเวทีของโลกการสื่อสาร การเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เตรียมรับมือแล้ว แต่ยังสู้ไม่ได้ เพราะคู่ต่อสู้เข้มข้นกว่า มีการทำงานเชิงรุกกว่า พรรคอนาคตใหม่ชนะ เพราะเตรียมการล่วงหน้ามา 2 ปี ก่อนเลือกตั้งมีการสำรวจ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน รวมถึงได้คะแนนที่เอื้อมาจากกรณีพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกยุบด้วย แต่พรรคอนาคตใหม่ชัดเจนเรื่องกลุ่มเป้าหมาย ฉะนั้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า หนีไม่พ้นเรื่องการสื่อสาร วันนี้จึงต้องล้างความคิดเดิมให้หมด ขณะนี้ตนก็ทำการบ้านหนัก ถ้าวิเคราะห์ผู้มีสิทธิ ออกเสียง 100 คน จะเป็นคนที่อยู่บ้านเห็นเราทำงานจริงๆ 47 – 55 คน ที่เหลือทำงานนอกบ้านทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าคนอีกส่วนหนึ่งไม่เคยรับรู้เลยว่าเรากลับไปทำอะไรให้เขาบ้าง เพราะเขาไม่รู้และขาดการสื่อสาร เราจึงต้องปรับตัวเอง เพื่อรับรูปแบบใหม่ให้ได้ เพราะการสื่อสารเป็นหัวใจของชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นอย่างมาก
นายจุติ กล่าวอีกว่า มาวันนี้จุดขายไปอยู่ที่พรรคอนาคตใหม่ เขาไม่ได้ต้องการคนทุกกลุ่มในประเทศ แต่ต้องการเฉพาะบางกลุ่มขอแค่เพียงพอให้เขาชนะการเลือกตั้ง จึงเป็นโจทย์ว่าวันนี้โลกเป็นแบบนี้ ถ้าเราขายของต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการซื้ออะไร รวมถึงการทำงานในพื้นที่ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขอฝากพรรคหาคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้านไอทีเข้ามาช่วยงานพรคในขณะที่กรอบความคิดแบบเดิมก็ให้ทิ้งไป สิ่งใดที่เราไม่ชอบ ไม่อยากทำเราก็ต้องทำเพื่อชัยชนะในอนาคต
ให้กำลังใจเพื่อกอบกู้พรรค
ด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค และรมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า วันนี้ตนมาให้กำลังใจ ทวงศรัทธาประชาธิปัตย์คืนมา เพราะก่อนสู้กับใครเราต้องสร้างความเข้มแข็ง สร้างความเป็นหนึ่งเดียวของเราก่อน เพราะเป็นสิ่งที่คู่แข่งเราคิดว่าประชาธิปัตย์แข็งแกร่งที่สุด ถ้าเราไม่สามารถสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันได้ก็จะสะเปะสะปะ ไปไม่ถึงจุดหมาย ไม่ว่าเรามีความคิดดี มีหัวสมองที่ดี แต่ถ้าไม่มีพลังก็เดินไปไม่ถึงจุดหมาย วันนี้เราต้องไม่ลืมองค์กรของเราที่ต้องเดินไปข้างหน้า ส่วนตัวมั่นใจ เราสามารถเรียกศรัทธาประชาธิปัตย์คืนมาไม่อยู่เหนือความสามารถของเรา พรรคมีอุดมการณ์เป็นสถาบันการเมือง ต้องไม่ให้คำว่าสถาบันการเมืองเป็นแค่ตัวหนังสืออยู่ที่สมาชิก และส.ส.ต้องช่วยกัน เดินไปในทิศทางเดียวกัน หลายเรื่องเป็นบทเรียนให้เราได้รู้
“วันนี้ผมมาให้กำลังใจทุกคนพร้อมขับเคลื่อนไปกับทุกภาคส่วน และอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำให้เข้มแข็ง คือ สาขาพรรค เพราะคือสัญลักษณ์การมีส่วนร่วมของประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ จุดแข็งของเราคือความเป็นตัวแทนของประชาชนผ่านสาขาพรรค วันนี้ผู้บริหารทุกคน รัฐมนตรีของพรรคต้องกลับมามองตรงนี้ คือจุดที่จะพาประชาธิปัตย์ไปพบประชาชน เพราะนี่คือรากฐานประชาธิปัตย์ทุกคนต้องกลับมาดูแลพรรค ทำให้เกิดความเข้มแข็งและเรียกศรัทธาประชาชนกลับคืนมาให้เร็วที่สุด” นายเฉลิมชัย กล่าว
พปชร.เชื่อมั่นการกระตุ้นศก.
นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า3แสนล้านบาทว่า มาตรการดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้ เชื่อว่าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนหลายรอบ เกิดการจับจ่ายใช้สอย เกิดการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศดีขึ้นในสภาวะที่ประเทศได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของโลก สำหรับมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจมีอยู่ 3 ด้านประกอบด้วย 1.มาตราการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง 2.มาตราการดูแลผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ3.มาตราการกระตุ้นผู้บริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
นายธนกร กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่พรรคเพื่อไทยไม่เชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะได้ผล และเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่กระเป๋านายทุนนั้น ถือเป็นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป รัฐบาลนี้ไม่ทำเพื่อนายทุนเหมือนรัฐบาลในอดีตแน่นอน แต่เป็นการช่วยเหลือพี่น้องคนยากคนจน พี่น้องเกษตรกร รัฐบาลตั้งใจที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ วันนี้พรรคเพื่อไทยควรจะเสนอแนะ ไม่ใช่ออกมาคัดค้านลูกเดียว หรือกล่าวหาโจมตีรัฐบาลเพียงอย่างเดียวเหมือนกับเด็กที่เอาแต่ใจ อยากได้ของเล่น แต่พอไม่ได้ก็พาลไปทุกเรื่อง ทั้งที่มาตรการดังกล่าวเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน
สส.อนาคตใหม่จ่อลาออก
รายงานข่าวจากพรรคอนาคตใหม่ แจ้งว่า นางจุมพิตา จันทรขจร ส.ส.เขต 5 จ.นครปฐม พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการพักรักษาตัว จากอาการบาดเจ็บ ที่เกิดจากอุบัติเหตุเกี่ยวกับยานพาหนะ ภายหลังมีการเลือกตั้ง จนทำให้ไม่สามารถเดินทางไปรายงานตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา และยังไม่ได้เข้าร่วมประชุมรัฐสภาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ล่าสุด มีกระแสข่าวว่า ทางพรรคอนาคตใหม่อยู่ระหว่างการพิจารณา ให้นางจุมพิตา ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขต 5 จ.นครปฐม โดยคาดว่า พรรคอนาคตใหม่เตรียมจะส่ง นายไพรัฎฐโชติ จันทรขจร สามีของนาง จุมพิตา ลงเลือกตั้งใหม่ในเขตดังกล่าวแทน
สำหรับการเลือกตั้งที่ผ่านมา นางจุมพิตา ชนะการเลือกตั้งตั้งเขต 5 จ.นครปฐม ด้วยคะแนน 34,164 คะแนน ตามมาด้วย นายสุรชัย อนุดธโต จากพรรคประชาธิปัตย์ 18,970 คะแนน นายระวัง เนตรโพธิ์แก้ว จากพรรคพลังประชารัฐ 18,741 คะแนน และนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ จากพรรคชาติไทยพัฒนา 12,279 คะแนน ส่งผลให้ พรรคอนาคตใหม่สามารถคว้าเก้าอี้ส.ส.ในจ.นครปฐม 2 ที่นั่ง จาก 5 ที่นั่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี